tag:blogger.com,1999:blog-54119585680643251212024-02-18T22:06:05.834-08:00ประวัติส่วนตัวjoebon007http://www.blogger.com/profile/13420953985502302487noreply@blogger.comBlogger21125tag:blogger.com,1999:blog-5411958568064325121.post-5798379569660380222013-01-29T00:10:00.001-08:002013-01-29T00:10:18.421-08:00วันสงกรานต์<span style="color: black;"><span class="mw-headline">ความหมายของ วันสงกรานต์</span>
</span><br />
<div align="center">
<a class="image" href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E:Songkarn_2.jpg" title="ภาพ:Songkarn_2.jpg"><span style="color: black;"><img alt="ภาพ:Songkarn_2.jpg" height="224" longdesc="/wiki/index.php/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E:Songkarn_2.jpg" src="http://www.panyathai.or.th/wiki/images/Songkarn_2.jpg" width="300" /></span></a></div>
<span style="color: black;">
</span><br />
<br /><span style="color: black;"> คำว่า "สงกรานต์" มาจากภาษาสันสฤกตว่า สํ-กรานต แปลว่า ก้าวขี้น
ย่างขึ้น หรือก้าวขึ้น การย้ายที่ เคลื่อนที่ คือ</span><a class="new" href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php?title=%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A2%E0%B9%8C&action=edit" title="พระอาทิตย์"><span style="color: black;">พระอาทิตย์</span></a><span style="color: black;">ย่างขึ้น
สู่ราศีใหม่ หมายถึงวันขึ้นปีใหม่ ซึ่งตกอยู่ในวันที่ 13,14,15 </span><a class="new" href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php?title=%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%99&action=edit" title="เมษายน"><span style="color: black;">เมษายน</span></a><span style="color: black;">ทุกปี
แต่วันสงกรานต์นั้นคือ วันที่ 13 เมษายน เรียกว่า วันมหาสงกรานต์ วันที่ 14
เป็นวันเนา วันที่ 15 เป็นวันเถลิงศก </span><br />
<span style="color: black;">
</span><br />
<span style="color: black;"> <i>ความหมายของคำอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับสงกรานต์ มีดังนี้</i> </span><br />
<span style="color: black;">
</span><br />
<span style="color: black;"> สงกรานต์ ที่แปลว่า "ก้าวขึ้น" "ย่างขึ้น"นั้นหมายถึง
การที่ดวงอาทิตย์ ขึ้นสู่</span><a href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A8%E0%B8%B5" title="ราศี"><span style="color: black;">ราศี</span></a><span style="color: black;">ใหม่
อันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทุกเดือน ที่เรียกว่าสงกรานต์เดือน แต่เมื่อครบ 12
เดือนแล้วย่างขึ้น</span><a class="new" href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php?title=%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A8%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%A9&action=edit" title="ราศีเมษ"><span style="color: black;">ราศีเมษ</span></a><span style="color: black;">อีก
จัดเป็นสงกรานต์ปี ถือว่าเป็น วันขึ้นปีใหม่ทาง</span><a class="new" href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php?title=%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A2%E0%B8%84%E0%B8%95%E0%B8%B4&action=edit" title="สุริยคติ"><span style="color: black;">สุริยคติ</span></a><span style="color: black;">
ในทาง</span><a class="new" href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php?title=%E0%B9%82%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%8C&action=edit" title="โหราศาสตร์"><span style="color: black;">โหราศาสตร์</span></a><span style="color: black;">
</span><br />
<span style="color: black;">
</span><br />
<span style="color: black;"> มหาสงกรานต์ แปลว่า ก้าวขึ้นหรือย่างขึ้นครั้งใหญ่
หมายถึงสงกรานต์ปี คือปีใหม่อย่างเดียว กล่าวคือสงกรานต์หมายถึง
ได้ทั้งสงกรานต์เดือนและสงกรานต์ปี แต่มหาสงกรานต์ หมายถึง สงกรานต์ปีอย่างเดียว
</span><br />
<span style="color: black;">
</span><br />
<span style="color: black;"> วันเนา แปลว่า "วันอยู่" คำว่า "เนา" แปลว่า "อยู่"
หมายความว่าเป็นวันถัดจากวันมหาสงกรานต์มา 1 วัน
วันมหาสงกรานต์เป็นวันที่ดวงอาทิตย์ย่างสู่ราศีตั้งต้นปีใหม่
วันเนาเป็นวันที่ดวงอาทิตย์เข้าที่เข้าทาง ในวันราศีตั้งต้นใหม่เรียบร้อยแล้ว
คืออยู่ประจำที่แล้ว </span><br />
<span style="color: black;">
</span><br />
<span style="color: black;"><br /></span><br />
<span style="color: black;">
</span><br />
<div align="center">
<a class="image" href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E:Songkarn_20.jpg" title="ภาพ:Songkarn_20.jpg"><span style="color: black;"><img alt="ภาพ:Songkarn_20.jpg" height="210" longdesc="/wiki/index.php/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E:Songkarn_20.jpg" src="http://www.panyathai.or.th/wiki/images/Songkarn_20.jpg" width="200" /></span></a></div>
<span style="color: black;">
</span><br />
<br /><span style="color: black;"> วันเถลิงศก แปลว่า "วันขึ้นศก" เป็นวันเปลี่ยน</span><a class="new" href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php?title=%E0%B8%88%E0%B8%B8%E0%B8%A5%E0%B8%A8%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A&action=edit" title="จุลศักราช"><span style="color: black;">จุลศักราช</span></a><span style="color: black;">ใหม่
การที่เปลี่ยนวันขึ้นศกใหม่มาเป็นวันที่ 3 ถัดจากวันมหาสงกรานต์
ก็เพื่อให้หมดปัญหาว่า การย่างขึ้นสู่จุดเดิม สำหรับต้นปีนั้นเรียบร้อยดี
ไม่มีปัญหาเพราะอาจมีปัญหาติดพันเกี่ยวกับชั่วโมง นาที วินาที ยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์
ที่จะเปลี่ยนศกถ้าเลื่อนวันเถลิงศกหรือวันขึ้นจุลศักราชใหม่มาเป็น วันที่ 3
ก็หมายความว่า อย่างน้อยดวงอาทิตย์ได้ก้าวเข้าสู่ราศีใหม่ ไม่น้อยกว่า 1
องศาแล้วอาจจะย่างเข้าองศาที่ 2 หรือที่ 3 ก็ได้ </span><br />
<span style="color: black;">
</span><br />
<span style="color: black;"> วันสงกรานต์เป็นวันเปลี่ยนจุลศักราชใหม่
ซึ่งกษัตริย์สิงหศแห่ง</span><a href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php/%E0%B8%9E%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%B2" title="พม่า"><span style="color: black;">พม่า</span></a><span style="color: black;">
ทรงตั้งขึ้นเมื่อปีกุนวันอาทิตย์ พ.ศ. 1181 โดยกำหนดเอาดวงอาทิตย์เข้าสู่ราศีเมษได้
1 องศา ประกอบกับไทยเราเคยนิยมใช้จุลศักราช
สงกรานต์จึงเป็นวันขึ้นปีใหม่ของไทยอีกด้วย </span><br />
<span style="color: black;">
</span><br />
<span style="color: black;"> ในปีแรกที่กำหนดเผอิญเป็นวันที่ 13 เมษายน
ซึ่งอันที่จริงไม่ใช่วันที่ 13 เมษายนทุกปี แต่เมื่อเป็นประเพณี
ก็จำเป็นต้องเอาวันนั้นทุกปี เพื่อมิให้การประกอบพิธี
ซึ่งมิได้รู้โดยละเอียดต้องเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา วันที่ 13
จึงเป็นวันสงกรานต์ของทุกปี </span><br />
<span style="color: black;">
</span><br />
<span style="color: black;"> ปกติวันสงกรานต์จะมี 3 วัน คือ เริ่มวันที่ 13 เมษายน ถึงวันที่ 15
เมษายน วันแรกคือวันที่ 13 เป็นวันมหาสงกราต์ วันที่พระอาทิตย์ต้องขึ้นสู่ราศีเมษ
วันที่ 14 เป็นวันเนา (พระอาทิตย์คงอยู่ที 0 องศา) วันที่ 15 เป็นวันเถลิงศกใหม่
และเริ่มจุลศักราชในวันนี้ เมื่อก่อนจริง ๆ มีถึง 4วัน คือวันที่ 13-16
เป็นวันเนาเสีย 2 วัน (วันเนาเป็นวันอยู่เฉยๆ ) เป็นวันว่าง
พักการงานนอกบ้านชั่วคราว </span><br />
<span style="color: black;">
</span><br />
<span style="color: black;"> จะเห็นได้ว่า วันสงกรานต์เป็นวันขึ้นปีใหม่ตั้งแต่</span><a class="new" href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php?title=%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B9%82%E0%B8%82%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%A2&action=edit" title="สมัยกรุงสุโขทัย"><span style="color: black;">สมัยกรุงสุโขทัย</span></a><span style="color: black;">
จนถึง พ.ศ. 2483 ทางราชการจึงได้เปลี่ยนไหม่ โดยกำหนดเอาวันที่ 1 </span><a class="new" href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php?title=%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%A1&action=edit" title="มกราคม"><span style="color: black;">มกราคม</span></a><span style="color: black;">
เป็นวันขึ้นปีใหม่ เพื่อให้เข้ากับ หลักสากลที่นานาประเทศนิยม</span><a class="new" href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php?title=%E0%B8%9B%E0%B8%8F%E0%B8%B4%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4&action=edit" title="ปฏิบัติ"><span style="color: black;">ปฏิบัติ</span></a><span style="color: black;">อย่างไรก็ตาม
แม้จะมีการเปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่ประชาชนก็ยังยึดถือว่า วันสงกรานต์มีความสำคัญ
</span><br />
<a href="http://www.blogger.com/null" name=".E0.B8.84.E0.B8.A7.E0.B8.B2.E0.B8.A1.E0.B9.80.E0.B8.9B.E0.B9.87.E0.B8.99.E0.B8.A1.E0.B8.B2.E0.B8.82.E0.B8.AD.E0.B8.87.E0.B8.A7.E0.B8.B1.E0.B8.99.E0.B8.AA.E0.B8.87.E0.B8.81.E0.B8.A3.E0.B8.B2.E0.B8.99.E0.B8.95.E0.B9.8C"></a><span style="color: black;">
</span><br />
<h2>
<span style="color: black;"><span class="mw-headline">ความเป็นมาของวันสงกรานต์</span></span></h2>
<span style="color: black;">
</span><br />
<div align="center">
<a class="image" href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E:Songkarn_3.jpg" title="ภาพ:Songkarn_3.jpg"><span style="color: black;"><img alt="ภาพ:Songkarn_3.jpg" height="177" longdesc="/wiki/index.php/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E:Songkarn_3.jpg" src="http://www.panyathai.or.th/wiki/images/Songkarn_3.jpg" width="300" /></span></a></div>
<span style="color: black;">
</span><br />
<br /><span style="color: black;"> ตามหลักแล้วเทศกาลสงกรานต์ถูกกำหนดตามการคำนวณโดยหลักเกณฑ์ใน</span><a class="new" href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php?title=%E0%B8%84%E0%B8%B1%E0%B8%A1%E0%B8%A0%E0%B8%B5%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A2%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%8C&action=edit" title="คัมภีร์สุริยยาตร์"><span style="color: black;">คัมภีร์สุริยยาตร์</span></a><span style="color: black;">
โดยวันแรกของเทศกาลซึ่งเป็นวันที่พระอาทิตย์ยกเข้าสู่ราศีเมษ
(ย้ายจากราศีมีนไปราศีเมษ) เรียกว่า "วันมหาสงกรานต์" วันถัดมาเรียกว่า "วันเนา"
และวันสุดท้ายซึ่งเป็นวันเปลี่ยน</span><a class="new" href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php?title=%E0%B8%88%E0%B8%B8%E0%B8%A5%E0%B8%A8%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A&action=edit" title="จุลศักราช"><span style="color: black;">จุลศักราช</span></a><span style="color: black;">และเริ่มใช้กาลโยคประจำปีใหม่
เรียกว่า "วันเถลิงศก" จากหลักการข้างต้นนี้
ทำให้ปัจจุบันเทศกาลสงกรานต์มักตรงกับวันที่ 14-16 เมษายน (ยกเว้นบางปี เช่น พ.ศ.
2551 และ พ.ศ. 2555 ที่สงกรานต์กลับมาตรงกับวันที่ 13-15 เมษายน) อย่างไรก็ตาม </span><a href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php/%E0%B8%9B%E0%B8%8F%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2" title="ปฏิทินไทย"><span style="color: black;">ปฏิทินไทย</span></a><span style="color: black;">ในขณะนี้กำหนดให้เทศกาลสงกรานต์ตรงกับวันที่
13-15 เมษายน ของทุกปี และเป็นวันหยุดราชการ </span><br />
<span style="color: black;">
</span><br />
<span style="color: black;"> สงกรานต์ เป็นประเพณีเก่าแก่ของไทยซึ่งสืบทอดมาแต่โบราณคู่มากับ</span><a class="new" href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php?title=%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%93%E0%B8%B5%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%A9&action=edit" title="ประเพณีตรุษ"><span style="color: black;">ประเพณีตรุษ</span></a><span style="color: black;">
จึงมีการเรียกรวมกันว่า ประเพณีตรุษสงกรานต์ หมายถึงประเพณีส่งท้ายปีเก่า
และต้อนรับปีใหม่ คำว่า</span><a class="new" href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php?title=%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%A9&action=edit" title="ตรุษ"><span style="color: black;">ตรุษ</span></a><span style="color: black;">เป็นภาษาทมิฬ
แปลว่าการสิ้นปี </span><br />
<span style="color: black;">
</span><br />
<span style="color: black;"><br /></span><br />
<span style="color: black;">
</span><br />
<div align="center">
<a class="image" href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E:Songkarn_4.jpg" title="ภาพ:Songkarn_4.jpg"><span style="color: black;"><img alt="ภาพ:Songkarn_4.jpg" height="185" longdesc="/wiki/index.php/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E:Songkarn_4.jpg" src="http://www.panyathai.or.th/wiki/images/Songkarn_4.jpg" width="300" /></span></a></div>
<span style="color: black;">
</span><br />
<br /><span style="color: black;"> พิธีสงกรานต์ เป็นพิธีกรรมที่เกิดขึ้นในสมาชิกใน</span><a href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php/%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%A7" title="ครอบครัว"><span style="color: black;">ครอบครัว</span></a><span style="color: black;">
หรือชุมชนบ้านใกล้เรือนเคียง แต่ปัจจุบันได้เปลี่ยนไปสู่สังคมในวงกว้าง
และมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนทัศนคติ และความเชื่อไป
ในความเชื่อดั้งเดิมใช้สัญลักษณ์เป็นองค์ประกอบหลักในพิธี ได้แก่
การใช้น้ำเป็นตัวแทน แก้กันกับความหมายของฤดูร้อน
ช่วงเวลาที่พระอาทิตย์เคลื่อนเข้าสู่ราศีเมษ ใช้น้ำรดให้แก่กันเพื่อความชุ่มชื่น
มีการขอพรจากผู้ใหญ่ การรำลึกและกตัญญูต่อ</span><a class="new" href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php?title=%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%9E%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%A9&action=edit" title="บรรพบุรุษ"><span style="color: black;">บรรพบุรุษ</span></a><span style="color: black;">ที่ล่วงลับ
ในชีวิตสมัยใหม่ของสังคมไทยเกิดประเพณีกลับบ้านในเทศกาลสงกรานต์
นับวันสงกรานต์เป็นวันครอบครัว ในพิธีเดิมมีการสรงน้ำพระที่นำสิริมงคล
เพื่อให้เป็นการเริ่มต้นปีใหม่ที่มีความสุข
ปัจจุบันมีพัฒนาการและมีแนวโน้มว่าได้มีการเสริมจนคลาดเคลื่อนบิดเบือนไป
เกิดการประชาสัมพันธ์ในเชิงการท่องเที่ยวว่าเป็น ‘Water Festival’
เป็นภาพของการใช้น้ำเพื่อแสดงความหมายเพียง</span><a href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%93%E0%B8%B5" title="ประเพณี"><span style="color: black;">ประเพณี</span></a><span style="color: black;">การเล่นน้ำ
</span><br />
<span style="color: black;">
</span><br />
<span style="color: black;"> การที่สังคมเปลี่ยนไป มีการเคลื่อนย้ายที่อยู่เข้าสู่เมืองใหญ่
และถือวันสงกรานต์เป็นวัน "กลับบ้าน" ทำให้การจราจรคับคั่งในช่วงวันก่อนสงกรานต์
วันแรกของเทศกาล และวันสุดท้ายของเทศกาล เกิดอุบัติเหตุทางถนนสูง
นับเป็นปรากฏการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้นตามการเปลี่ยนแปลงหลายด้านของสังคม นอกจากนี้
เทศกาลสงกรานต์ยังถูกใช้ในการส่งเสริมการท่องเที่ยว ทั้งต่อคนไทย และต่อนัก</span><a class="new" href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php?title=%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7&action=edit" title="ท่องเที่ยว"><span style="color: black;">ท่องเที่ยว</span></a><span style="color: black;">ต่างประเทศ
</span><br />
<a href="http://www.blogger.com/null" name=".E0.B8.95.E0.B8.B3.E0.B8.99.E0.B8.B2.E0.B8.99.E0.B8.99.E0.B8.B2.E0.B8.87.E0.B8.AA.E0.B8.87.E0.B8.81.E0.B8.A3.E0.B8.B2.E0.B8.99.E0.B8.95.E0.B9.8C"></a><span style="color: black;">
</span><br />
<h2>
<span class="editsection"><span style="color: black;">[</span><a href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php?title=%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%8C&action=edit&section=3" title="Edit section: ตำนานนางสงกรานต์"><span style="color: black;">แก้ไข</span></a><span style="color: black;">]</span></span><span style="color: black;">
<span class="mw-headline">ตำนานนางสงกรานต์</span></span></h2>
<span style="color: black;">
</span><br />
<div align="center">
<a class="image" href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E:Songkarn_11.jpg" title="ภาพ:Songkarn_11.jpg"><span style="color: black;"><img alt="ภาพ:Songkarn_11.jpg" height="164" longdesc="/wiki/index.php/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E:Songkarn_11.jpg" src="http://www.panyathai.or.th/wiki/images/Songkarn_11.jpg" width="300" /></span></a></div>
<span style="color: black;">
</span><br />
<br /><span style="color: black;"> ตาม</span><a class="new" href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php?title=%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B6%E0%B8%81&action=edit" title="จารึก"><span style="color: black;">จารึก</span></a><span style="color: black;">ที่</span><a class="new" href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php?title=%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B8%9E%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B8%A5%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A1&action=edit" title="วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม"><span style="color: black;">วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม</span></a><span style="color: black;">
กล่าวตามพระบาลีฝ่ายรามัญว่า ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเศรษฐีคนหนึ่ง
รวยทรัพย์แต่อาภัพบุตร ตั้งบ้านอยู่ใกล้กับนักเลงสุราที่มีบุตรสองคน
วันหนึ่งนักเลงสุราต่อว่าเศรษฐีจนกระทั่งเศรษฐีน้อยใจ จึงได้บวงสรวงพระอาทิตย์ </span><a class="new" href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php?title=%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B9%8C&action=edit" title="พระจันทร์"><span style="color: black;">พระจันทร์</span></a><span style="color: black;">
ตั้งจิตอธิษฐานอยู่กว่าสามปี ก็ไร้วี่แววที่จะมีบุตร
อยู่มาวันหนึ่งพอถึงช่วงที่พระอาทิตย์ยกขึ้นสู่ราศีเมษ
เศรษฐีได้พาบริวารไปยังต้นไทรริมน้ำ พอถึงก็ได้เอาข้าวสารลงล้างในน้ำเจ็ดครั้ง
แล้วหุงบูชาอธิษฐานขอบุตรกับรุกขเทวดาในต้นไทรนั้น รุกขเทวดาเห็นใจเศรษฐี
จึงเหาะไปเฝ้าพระอินทร์ ไม่ช้า</span><a class="new" href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php?title=%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B9%8C&action=edit" title="พระอินทร์"><span style="color: black;">พระอินทร์</span></a><span style="color: black;">ก็มีเมตตาประทานให้เทพบุตรองค์หนึ่งนาม
"</span><a class="new" href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php?title=%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%A5&action=edit" title="ธรรมบาล"><span style="color: black;">ธรรมบาล</span></a><span style="color: black;">"
ลงไปปฏิสนธิในครรภ์ภรรยาเศรษฐี ไม่ช้าก็คลอดออกมา เศรษฐีตั้งชื่อให้กุมารน้อยนี้ว่า
ธรรมบาลกุมาร และได้ปลูกปราสาทไว้ใต้ต้นไทรให้กุมารนี้อยู่อาศัย </span><br />
<span style="color: black;">
</span><br />
<span style="color: black;"> ต่อมาเมื่อธรรมบาลกุมารโตขึ้น ก็ได้เรียนรู้ซึ่งภาษานก และเรียน</span><a class="new" href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php?title=%E0%B9%84%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A0%E0%B8%97&action=edit" title="ไตรเภท"><span style="color: black;">ไตรเภท</span></a><span style="color: black;">จบเมื่ออายุได้เจ็ดขวบ
เขาได้เป็นอาจารย์บอกมงคลต่าง ๆ แก่คนทั้งหลาย อยู่มาวันหนึ่ง ท้าวกบิลพรหม
ได้ลงมาถามปัญหากับธรรมบาลกุมาร 3 ข้อ ถ้าธรรมบาลกุมารตอบได้ก็จะตัดเศียร</span><a class="new" href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php?title=%E0%B8%9A%E0%B8%B9%E0%B8%8A%E0%B8%B2&action=edit" title="บูชา"><span style="color: black;">บูชา</span></a><span style="color: black;">
แต่ถ้าตอบไม่ได้จะตัดศีรษะธรรมบาลกุมารเสีย ท้าวกบิลพรหมถามธรรมบาลกุมารว่า
ตอนเช้าศรีอยู่ที่ไหน ตอนเที่ยงศรีอยู่ที่ไหน และตอนค่ำศรีอยู่ที่ไหน
ทันใดนั้นธรรมบาลกุมารจึงขอผัดผ่อนกับ</span><a class="new" href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php?title=%E0%B8%97%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%81%E0%B8%9A%E0%B8%B4%E0%B8%A5%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%AB%E0%B8%A1&action=edit" title="ท้าวกบิลพรหม"><span style="color: black;">ท้าวกบิลพรหม</span></a><span style="color: black;">เป็นเวลา
7 วัน </span><br />
<span style="color: black;">
</span><br />
<span style="color: black;"> ทางธรรมบาลกุมารก็พยายามคิดค้นหาคำตอบ ล่วงเข้าวันที่ 6
ธรรมบาลกุมารก็ลงจากปราสาทมานอนอยู่ใต้ต้นตาล เขาคิดว่า
ขอตายในที่ลับยังดีกว่าไปตายด้วยอาญาท้าวกบิลพรหม บังเอิญบนต้นไม้มีนกอินทรี 2
ตัวผัวเมียเกาะทำรังอยู่ นางนกอินทรีถามสามีว่า พรุ่งนี้เราจะไปหาอาหารแห่งใด
สามีตอบนางนกว่า เราจะไปกินศพธรรมบาลกุมาร ซึ่งท้าวกบิลพรหมจะฆ่าเสีย
ด้วยแก้ปัญหาไม่ได้ นางนกจึงถามว่า คำถามที่ท้าวกบิลพรหมถามคืออะไร
สามีก็เล่าให้ฟัง ซึ่งนางนกก็ไม่สามารถตอบได้ สามีจึงเฉลยว่า ตอนเช้า
ศรีจะอยู่ที่หน้า คนจึงต้องล้างหน้าทุก ๆ เช้า ตอนเที่ยง ศรีจะอยู่ที่อก
คนจึงเอาเครื่องหอมประพรมที่อก ส่วนตอนเย็น ศรีจะอยู่ที่เท้า
คนจึงต้องล้างเท้าก่อนเข้านอน ธรรมบาลกุมารก็ได้ทราบเรื่องที่นกอินทรีคุยกันตลอด
จึงจดจำไว้ </span><br />
<span style="color: black;">
</span><br />
<span style="color: black;"> ครั้นรุ่งขึ้น ท้าวกบิลพรหมก็มาตามสัญญาที่ให้ไว้ทุกประการ
ธรรมบาลกุมารจึงนำคำตอบที่ได้ยินจากนกไปตอบกับท้าวกบิลพรหม
ท้าวกบิลพรหมจึงตรัสเรียกธิดาทั้งเจ็ดอันเป็นบาทบาจาริกาพระอินทร์มาประชุมพร้อมกัน
แล้วบอกว่า เราจะตัดเศียรบูชาธรรมบาลกุมาร ถ้าจะตั้งไว้ยังแผ่นดิน ไฟก็จะไหม้โลก
ถ้าจะโยนขึ้นไปบนอากาศ ฝนก็จะแล้ง ถ้าจะทิ้งในมหาสมุทร น้ำก็จะแห้ง
จึงให้ธิดาทั้งเจ็ดนำพานมารองรับ แล้วก็ตัดเศียรให้นางทุงษะ ผู้เป็นธิดาองค์โต
จากนั้นนางทุงษะก็อัญเชิญพระเศียรท้าวกบิลพรหมเวียนขวารอบเขาพระสุเมรุ 60 นาที
แล้วเก็บรักษาไว้ในถ้ำคันธุลี ในเขาไกรลาศ </span><br />
<span style="color: black;">
</span><br />
<span style="color: black;"><br /></span><br />
<span style="color: black;">
</span><br />
<div align="center">
<a class="image" href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E:Songkarn_5.jpg" title="ภาพ:Songkarn_5.jpg"><span style="color: black;"><img alt="ภาพ:Songkarn_5.jpg" height="221" longdesc="/wiki/index.php/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E:Songkarn_5.jpg" src="http://www.panyathai.or.th/wiki/images/Songkarn_5.jpg" width="300" /></span></a></div>
<span style="color: black;">
</span><br />
<br /><span style="color: black;"> จากนั้นมาทุก ๆ 1 ปี ธิดาของท้าวกบิลพรหมทั้ง 7
ก็จะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาทำหน้าที่อัญเชิญพระเศียรท้าวกบิลพรหมแห่ไปรอบเขาพระสุเมรุ
เป็นเวลา 60 นาที แล้วประดิษฐานตามเดิม
ในแต่ละปีนางสงกรานต์แต่ละนางจะทำหน้าที่ผลัดเปลี่ยนกันตามวันมหาสงกรานต์ ดังนี้
</span><br />
<span style="color: black;">
</span><br />
<ul><span style="color: black;">
</span>
<li><span style="color: black;">ถ้า</span><a class="new" href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php?title=%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A2%E0%B9%8C&action=edit" title="วันอาทิตย์"><span style="color: black;">วันอาทิตย์</span></a><span style="color: black;">เป็นวันมหาสงกรานต์
นางสงกรานต์นาม ทุงษะเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกทับทิม อาภรณ์แก้วปัทมราช
ภักษาหารอุทุมพร (ผลมะเดื่อ) พระหัตถ์ขวาทรงจักร พระหัตถ์ซ้ายทรงสังข์
เสด็จมาบนหลัง</span><a href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php/%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%91" title="ครุฑ"><span style="color: black;">ครุฑ </span></a></li>
</ul>
<span style="color: black;">
</span><br />
<ul><span style="color: black;">
</span>
<li><span style="color: black;">ถ้า</span><a class="new" href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php?title=%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B9%8C&action=edit" title="วันจันทร์"><span style="color: black;">วันจันทร์</span></a><span style="color: black;">เป็นวันมหาสงกรานต์
นางสงกรานต์นาม โคราคะเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกปีบ อาภรณ์แก้วมุกดา ภักษาหารเตลัง
(น้ำมัน) พระหัตถ์ขวาทรงขรรค์ พระหัตถ์ซ้ายทรงไม้เท้า เสด็จมาบนหลังพยัคฆ์ (</span><a class="new" href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php?title=%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%AD&action=edit" title="เสือ"><span style="color: black;">เสือ</span></a><span style="color: black;">)
</span></li>
</ul>
<span style="color: black;">
</span><br />
<ul><span style="color: black;">
</span>
<li><span style="color: black;">ถ้า</span><a class="new" href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php?title=%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%A3&action=edit" title="วันอังคาร"><span style="color: black;">วันอังคาร</span></a><span style="color: black;">เป็นวันมหาสงกรานต์
นางสงกรานต์นาม รากษสเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกบัวหลวง อาภรณ์แก้วโมรา ภักษาหารโลหิต
พระหัตถ์ขวาทรงตรีศูล พระหัตถ์ซ้ายทรงธนู เสด็จมาบนหลังวราหะ (</span><a class="new" href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php?title=%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B9&action=edit" title="หมู"><span style="color: black;">หมู</span></a><span style="color: black;">)
</span></li>
</ul>
<span style="color: black;">
</span><br />
<ul><span style="color: black;">
</span>
<li><span style="color: black;">ถ้า</span><a class="new" href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php?title=%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%98&action=edit" title="วันพุธ"><span style="color: black;">วันพุธ</span></a><span style="color: black;">เป็นวันมหาสงกรานต์
นางสงกรานต์นาม มณฑาเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกจำปา อาภรณ์แก้วไพฑูรย์ ภักษาหารนมเนย
พระหัตถ์ขวาทรงเข็ม พระหัตถ์ซ้ายทรงไม้เท้า เสด็จมาบนหลังคัทรภะ (</span><a class="new" href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php?title=%E0%B8%A5%E0%B8%B2&action=edit" title="ลา"><span style="color: black;">ลา</span></a><span style="color: black;">)
</span></li>
</ul>
<span style="color: black;">
</span><br />
<ul><span style="color: black;">
</span>
<li><span style="color: black;">ถ้า</span><a class="new" href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php?title=%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%A4%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%AA%E0%B8%9A%E0%B8%94%E0%B8%B5&action=edit" title="วันพฤหัสบดี"><span style="color: black;">วันพฤหัสบดี</span></a><span style="color: black;">เป็นวันมหาสงกรานต์
นางสงกรานต์นาม กิริณีเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกมณฑา อาภรณ์แก้วมรกต ภักษาหารถั่วงา
พระหัตถ์ขวาทรงขอช้าง พระหัตถ์ซ้ายทรงปืน เสด็จมาบนหลังคชสาร (</span><a class="new" href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php?title=%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87&action=edit" title="ช้าง"><span style="color: black;">ช้าง</span></a><span style="color: black;">)
</span></li>
</ul>
<span style="color: black;">
</span><br />
<ul><span style="color: black;">
</span>
<li><span style="color: black;">ถ้า</span><a class="new" href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php?title=%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%A8%E0%B8%B8%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B9%8C&action=edit" title="วันศุกร์"><span style="color: black;">วันศุกร์</span></a><span style="color: black;">เป็นวันมหาสงกรานต์
นางสงกรานต์นาม กิมิทาเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกจงกลนี อาภรณ์แก้วบุษราคัม
ภักษาหารกล้วยน้ำ พระหัตถ์ขวาทรงขรรค์ พระหัตถ์ซ้ายทรงพิณ เสด็จมาบนหลังมหิงสา (</span><a class="new" href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php?title=%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A2&action=edit" title="ควาย"><span style="color: black;">ควาย</span></a><span style="color: black;">)
</span></li>
</ul>
<span style="color: black;">
</span><br />
<ul><span style="color: black;">
</span>
<li><span style="color: black;">ถ้า</span><a class="new" href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php?title=%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C&action=edit" title="วันเสาร์"><span style="color: black;">วันเสาร์</span></a><span style="color: black;">เป็นวันมหาสงกรานต์
นางสงกรานต์นาม มโหธรเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกสามหาว อาภรณ์แก้วนิลรัตน์
ภักษาหารเนื้อทรายพระหัตถ์ขวาทรงจักร พระหัตถ์ซ้ายทรงตรีศูล เสด็จมาบนหลังมยุรา (</span><a href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php/%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%A2%E0%B8%B9%E0%B8%87" title="นกยูง"><span style="color: black;">นกยูง</span></a><span style="color: black;">)
</span></li>
</ul>
<span style="color: black;">
</span><br />
<span style="color: black;">สำหรับความเชื่อทางล้านนานั้นจะมีว่า </span><br />
<span style="color: black;">
</span><br />
<span style="color: black;"><br /></span><br />
<span style="color: black;">
</span><br />
<div align="center">
<a class="image" href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E:Songkarn_6.jpg" title="ภาพ:Songkarn_6.jpg"><span style="color: black;"><img alt="ภาพ:Songkarn_6.jpg" height="319" longdesc="/wiki/index.php/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E:Songkarn_6.jpg" src="http://www.panyathai.or.th/wiki/images/Songkarn_6.jpg" width="228" /></span></a></div>
<span style="color: black;">
</span><br />
<span style="color: black;"><br /></span><br />
<span style="color: black;">
</span><br />
<ul><span style="color: black;">
</span>
<li><span style="color: black;">วันอาทิตย์ ชื่อ นางแพงศรี
</span>
<li><span style="color: black;">วันจันทร์ ชื่อ นางมโนรา
</span>
<li><span style="color: black;">วันอังคาร ชื่อ นางรากษสเทวี
</span>
<li><span style="color: black;">วันพุธ ชื่อ นางมันทะ
</span>
<li><span style="color: black;">วันพฤหัส ชื่อ นางัญญาเทพ
</span>
<li><span style="color: black;">วันศุกร์ ชื่อ นางริญโท
</span>
<li><span style="color: black;">วันเสาร์ ชื่อ นางสามาเทวี</span> </li>
</li>
</li>
</li>
</li>
</li>
</li>
</ul>
joebon007http://www.blogger.com/profile/13420953985502302487noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5411958568064325121.post-17047093604148581592013-01-23T18:39:00.003-08:002013-01-23T18:39:23.853-08:00วันจักรี<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://hilight.kapook.com/img_cms2/varity/p_rama1.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img alt="" border="0" src="http://hilight.kapook.com/img_cms2/varity/p_rama1.jpg" /></a></div>
<span style="color: blue;"> </span><span style="color: black;">ในทุกๆ วันที่ 6 เมษายน ของทุกปีนั้นถือเป็นสำคัญอีกวันหนึ่งของไทย นั่นคือ วันจักรี ซึ่งเป็นวันที่เราจะร่วมกันระลึกถึงพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รวมถึงมหาจักรีบรมราชวงศ์ วันนี้กระปุกดอทคอมจึงนำประวัติและความสำคัญของวันนี้มาฝากกันค่ะ<br /><br /> <span style="font-weight: bold;">ประวัติการตั้งชื่อวันจักรี นั้นเนื่องมาจาก </span>เมื่อวันที่ 6 เมษายน ปี พ.ศ. 2325 นั้นเป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช หรือพระรามาธิบดีที่ 1 ทรงเสด็จปราบดาภิเษกขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี และยังทรงสร้างกรุงเทพฯ เป็นเมืองหลวงของไทยอีกด้วย และยังเป็นวันครบรอบการก่อตั้งราชวงศ์จักรีซึ่งเป็นราชวงศ์ที่ครองราชย์อยู่ในปัจจุบัน <br /><br /> ด้วยพระมหากรุณาธิคุณดังกล่าว ในปี พ.ศ. 2416 <span style="font-weight: bold;">พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงได้โปรดเกล้าฯ ให้หล่อพระบรมรูปของพระเจ้าอยู่หัวทั้ง 4 พระองค์</span> ซึ่งก็คือรัชกาลที่ 1 ถึง รัชกาลที่ 4 เพื่อประดิษฐานไว้ให้พระมหากษัตริย์องค์ต่อมาและพระบรมวงศานุวงศ์ รวมถึงข้าราชการและประชาชน ได้ถวายบังคมระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณเป็นธรรมเนียมปีละครั้ง <br /><br /> <span style="color: maroon;">โดยได้มีการโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญไปประดิษฐานไว้บนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท และได้มีการย้ายที่อีกหลายครั้งไม่ว่าจะเป็นพระพี่นั่งพุทไธสวรรย์ปราสาทหรือพระที่นั่งศิวาลัยปราสาท ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 6 ทรงโปรดให้ย้ายพระบรมรูปของทั้ง 4 พระองค์ มาไว้ ณ ปราสาทพระเทพบิดร ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม พร้อมกับพระบรมรูปของรัชกาลที่ 5 </span><br style="color: maroon;" /><br /> ซึ่งการซ่อมแซม ก่อสร้าง และประดิษฐานพระบรมรูปทั้ง 5 รัชกาล มาแล้วเสร็จในเดือนเมษายน พ.ศ. 2461 จึงได้มีพระบรมราชโองการประกาศตั้งพระราชพิธีถวายบังคมพระบรมรูป ในวันที่ 6 เมษายน ในปีนั้น และได้โปรดเกล้าฯ ให้เรียกว่า <span style="font-weight: bold;">"วันจักรี" </span><br /><br /> <span style="color: purple;"> <strong>และทั้งหมดก็คือความเป็นมาของวันจักรี ที่ไม่ได้เป็นเพียงแค่วันหยุดราชการธรรมดาๆ</strong></span></span><strong><span style="color: black;"> <span style="color: purple;">แต่เป็นวันที่ประชาชนทุกคนควรระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์ของไทยทุกพระองค์</span> </span></strong>joebon007http://www.blogger.com/profile/13420953985502302487noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5411958568064325121.post-1260461833035294602013-01-23T18:38:00.000-08:002013-01-23T18:38:05.246-08:00วันมาฆบูชา<span style="color: purple;">วันมาฆบูชา ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 3 ถือเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาวันหนึ่ง และได้เวียนมาบรรจบอีกครั้ง โดยในปี พ.ศ.2556 นี้ <span style="font-weight: bold;">วันมาฆบูชา ตรงกับวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2556 วันนี้กระปุกดอทคอม จึงมีเกร็ดความรู้เกี่ยวกับวันมาฆบูชามาฝากกันค่ะ</span></span><br style="font-weight: bold;" /><br /><img border="0" src="http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/ann-113_2.gif" /><strong><span style="background-color: yellow;">ความหมายของวันมาฆบูชา</span></strong><br /><br /> คำว่า <strong>"มาฆะ"</strong> นั้น เป็นชื่อของเดือน 3 ย่อมาจากคำว่า <strong>"มาฆบุรณมี"</strong> หมายถึง การบูชาพระในวันเพ็ญกลางเดือนมาฆะตามปฏิทินของอินเดีย หรือเดือน 3 <br /><br /><img border="0" src="http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/ann-113_2.gif" /><strong><span style="background-color: yellow;">การกำหนดวันมาฆบูชา</span></strong><br /> การกำหนดวันมาฆบูชาตามปฏิทินจันทรคติของไทยนั้นจะตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 แต่ถ้าปีใดมีเดือนอธิกมาส คือมีเดือน 8 สองครั้ง วันมาฆบูชาก็จะเลื่อนไปเป็นวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 4 และมักตรงกับเดือนกุมภาพันธ์หรือมีนาคม<br /><br /><img border="0" src="http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/ann-113_2.gif" /> <span style="background-color: yellow;"><strong>ความสำคัญและประวัติของวันมาฆบูชา</strong></span><br /> ความสำคัญของวันมาฆบูชา คือเป็นวันที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง <strong>"โอวาทปาติโมกข์"</strong> แก่พระสงฆ์เป็นครั้งแรก หลังจากตรัสรู้มาแล้วเป็นเวลา 9 เดือน ซึ่งหลักคำสอนนี้เป็นหลักการ และวิธีการปฏิบัติต่างๆ หากสรุปเป็นใจความสำคัญ จะมีเนื้อหาว่า <strong>"ทำความดี ละเว้นความชั่ว ทำจิตใจให้บริสุทธิ์"</strong><br /><span style="color: navy;"><strong><img alt="" border="0" src="http://hilight.kapook.com/img_cms/dookdik/204138.gif" /> ทั้งนี้ในวันมาฆบูชาได้เกิดเหตุอัศจรรย์ขึ้นพร้อมๆ กันถึง 4 ประการ อันได้แก่</strong></span><br /> <img border="0" src="http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/ann56.gif" />1.วันนั้นตรงกับวันเพ็ญ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 ซึ่งพระจันทร์เสวยมาฆฤกษ์<br /><br /> <img border="0" src="http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/ann56.gif" />2.มีพระสงฆ์จำนวน 1,250 รูป มาประชุมพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย ณ วัดเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ เพื่อสักการะพระสัมมาสัมพุทธเจ้า<br /><br /> <img border="0" src="http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/ann56.gif" />3.พระสงฆ์ที่มาประชุมทั้งหมดล้วนแต่เป็นพระอรหันต์ ผู้ได้อภิญญา 6<br /><br /> <img border="0" src="http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/ann56.gif" />4.พระสงฆ์ทั้งหมดได้รับการอุปสมบทโดยตรงจากพระพุทธเจ้า หรือ "เอหิภิกขุอุปสัมปทา"<br /><br /> <span style="color: blue;">และเพราะเกิดเหตุอัศจรรย์ 4 ประการข้างต้น ทำให้วันมาฆบูชา เรียกอีกชื่อหนึ่งได้ว่า "วันจาตุรงคสันนิบาต" ซึ่งคำว่า "จาตุรงคสันนิบาต" นี้ มีความหมายตามการแยกศัพท์คือ</span><br /><br /> <img border="0" src="http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/ann56.gif" />จาตุร แปลว่า 4<br /> <img border="0" src="http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/ann56.gif" />องค์ แปลว่า ส่วน<br /> <img border="0" src="http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/ann56.gif" />สันนิบาต แปลว่า ประชุม<br /><br /> <span style="color: blue;"><strong>ดังนั้น "จาตุรงคสันนิบาต" จึงหมายความว่า "การประชุมด้วยองค์ 4" นั่นเอง</strong></span><br /> <strong>ทั้งนี้วันมาฆบูชาถือว่าเป็นวันพระธรรม ขณะที่วันวิสาขบูชาถือว่าเป็นวันพระพุทธ ส่วนวันอาสาฬหบูชา เป็นวันพระสงฆ์</strong><br /><img border="0" src="http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/ann-113_2.gif" /> <strong><span style="background-color: yellow;">ประวัติการถือปฏิบัติวันมาฆบูชาในประเทศไทย</span></strong><br /><br /> พิธีทำบุญวันมาฆบูชานี้ ไม่ปรากฎหลักฐานว่ามีมาในสมัยใด อย่างไรก็ตามในหนังสือ "พระราชพิธีสิบสองเดือน" อันเป็นบทพระราชนิพนธ์ของ "พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว" มีเรื่องราวเกี่ยวกับการประกอบราชกุศลมาฆบูชาไว้ว่า <br /><br /> <span style="color: blue;"> ประเทศไทยเริ่มกำหนดพิธีปฏิบัติในวันมาฆบูชาเป็นครั้งแรกในช่วงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ซึ่งมีการประกอบพิธีเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ.2394 ในพระบรมมหาราชวังก่อน โดยมีพิธีพระราชกุศลในเวลาเช้า นมัสการพระสงฆ์จากวัดบวรนิเวศวรวิหารและวัดราชประดิษฐ์จำนวน 30 รูป ฉันภัตตาหารในพระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม</span><br /> เมื่อถึงเวลาค่ำ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ ออก ทรงจุดธูปเทียนนมัสการ พระสงฆ์ทำวัตรเย็นและสวดคาถาโอวาทปาติโมกข์ เมื่อสวดจบทรงจุดเทียน 1,250 เล่ม รอบพระอุโบสถ มีการประโคมอีกครั้งหนึ่งแล้วจึงมีการเทศนาโอวาทปาติโมกข์ 1 กัณฑ์เป็นทั้งเทศนาภาษาบาลี และภาษาไทย ส่วนเครื่องกัณฑ์ประกอบด้วยจีวรเนื้อดี 1 ผืน เงิน 3 ตำลึงและขนมต่างๆ เมื่อเทศนาจบ พระสงฆ์ 30 รูป สวดรับ<br /><br /> <span style="color: blue;"> ในสมัยรัชกาลที่ 4 นั้น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จะเสด็จออกประกอบพิธีด้วยพระองค์เองทุกปี แต่มีการยกเว้นบ้างในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เนื่องจากบางครั้งตรงกับช่วงเสด็จประพาสก็จะทรงประกอบพิธีมาฆบูชาในสถานที่นั้นๆ ขึ้นอีกแห่ง นอกเหนือจากภายในพระบรมมหาราชวัง</span><br /> ต่อมาการประกอบพิธีมาฆบูชาได้แพร่หลายออกไปภายนอกพระบรมมหาราชวัง และประกอบพิธีกันทั่วราชอาณาจักร ทางรัฐบาลจึงประกาศให้เป็นวันหยุดทางราชการด้วย เพื่อให้ประชาชนจากทุกสาขาอาชีพได้ไปวัด เพื่อทำบุญกุศลและประกอบกิจกรรมทางศาสนา<br /><br /> <strong>นอกจากนี้ในปี พ.ศ.2549 รัฐบาลไทยประกาศให้วันมาฆบูชา ให้เป็นวันกตัญญูแห่งชาติอีกด้วย</strong><br /><br /><img border="0" src="http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/ann-113_2.gif" /> <strong><span style="background-color: yellow;">หลักธรรมที่ควรนำไปปฏิบัติ</span></strong><br /><br /> หลักธรรมที่ควรนำไปปฏิบัติคือ "โอวาทปาติโมกข์" ซึ่งเป็นหลักคำสอนสำคัญอันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา เพื่อไปสู่ความหลุดพ้น หลักธรรมประกอบด้วย หลักการ 3 อุดมการณ์ 4 และวิธีการ 6 ดังนี้<br /><br /><strong><span style="color: blue;"><img alt="" border="0" src="http://hilight.kapook.com/img_cms/dookdik/204138.gif" /> หลักการ 3 คือหลักคำสอนที่ควรปฏิบัติ ได้แก่</span></strong><br /> <img border="0" src="http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/ann56.gif" /><strong>1.การไม่ทำบาปทั้งปวง</strong> คือ การลด ละ เลิก ทำบาปทั้งปวง อันได้แก่ อกุศลกรรมบถ 10 ซึ่งเป็นทางแห่งความชั่ว 10 ประการที่เป็นความชั่วทางกาย (การฆ่าสัตว์ การลักทรัพย์ การประพฤติผิดในกาม) ทางวาจา (การพูดเท็จ การพูดส่อเสียด การพูดเพ้อเจ้อ) และทางใจ (การอยากได้สมบัติของผู้อื่น การผูกพยาบาท และความเห็นผิดจากทำนองคลองธรรม)<br /><br /> <img border="0" src="http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/ann56.gif" /><strong>2.การทำกุศลให้ถึงพร้อม</strong> คือ การทำความดีทุกอย่างตาม กุศลกรรมบถ 10 ทั้งความดีทางกาย (ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ไม่เอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้มาเป็นของตน มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไม่ประพฤติผิดในกาม) ความดีทางวาจา (ไม่พูดเท็จ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดหยาบคาย ไม่พูดเพ้อเจ้อ) และความดีทางใจ (ไม่โลภอยากได้ของผู้อื่น มีความเมตตาปรารถนาดี มีความเข้าใจถูกต้องตามทำนองคลองธรรม)<br /><br /> <img border="0" src="http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/ann56.gif" /><strong>3.การทำจิตใจให้ผ่องใส</strong> คือ ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ หลุดจากนิวรณ์ที่คอยขัดขวางจิตใจไม่ให้เข้าถึงความสงบ ได้แก่ ความพอใจในกาม, ความพยาบาท, ความหดหู่ท้อแท้, ความฟุ้งซ่าน และความลังเลสงสัย<br /><br /> <strong> ซึ่งทั้ง 3 หลักการข้างต้น สามารถสรุปใจความสำคัญได้ว่า "ทำความดี ละเว้นความชั่ว ทำจิตใจให้บริสุทธิ์" นั่นเอง<br /></strong><br /><strong><span style="color: blue;"><img alt="" border="0" src="http://hilight.kapook.com/img_cms/dookdik/204138.gif" /> อุดมการณ์ 4 ได้แก่</span></strong><br /><br /> <img border="0" src="http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/ann56.gif" /><strong>1.ความอดทน อดกลั้น</strong> คือ ไม่ทำบาปทั้งกาย วาจา ใจ<br /> <img border="0" src="http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/ann56.gif" /><strong>2.ความไม่เบียดเบียน</strong> คือ งดเว้นจากการทำร้าย หรือ เบียดเบียนผู้อื่น<br /> <img border="0" src="http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/ann56.gif" /><strong>3.ความสงบ</strong> ได้แก่ การปฏิบัติตนให้สงบทั้งทางกาย ทางวาจาและทางใจ<br /> <img border="0" src="http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/ann56.gif" /><strong>4.นิพพาน</strong> ได้แก่ การดับทุกข์ ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนา<br /><br /><br /><strong><span style="color: blue;"><img alt="" border="0" src="http://hilight.kapook.com/img_cms/dookdik/204138.gif" /> วิธีการ 6 ได้แก่</span></strong><br /><br /> <img border="0" src="http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/ann56.gif" /><strong>1.ไม่ว่าร้าย</strong> คือ ไม่กล่าวให้ร้าย โจมตีใคร<br /> <img border="0" src="http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/ann56.gif" />2.<b>ไม่ทำร้าย</b> คือ การไม่เบียดเบียนผู้อื่น<br /> <img border="0" src="http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/ann56.gif" /><strong>3.สำรวมในปาติโมกข์</strong> คือ เคารพระเบียบวินัย กฎกติกา รวมทั้งขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามของสังคม<br /> <img border="0" src="http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/ann56.gif" /><strong>4.รู้จักประมาณ</strong> คือ รู้จักความพอดีในการบริโภค รวมทั้งการใช้สอยสิ่งต่างๆ<br /> <img border="0" src="http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/ann56.gif" /><strong>5.อยู่ในสถานที่สงัด</strong> คือ อยู่ในสถานที่ที่มีสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม<br /> <img border="0" src="http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/ann56.gif" /><strong>6.ฝึกหัดจิตใจให้สงบ</strong> คือ การฝึกหัดชำระจิตใจให้สงบ มีประสิทธิภาพที่ดี<br /><br /><br />
<div style="text-align: center;">
<img alt="เวียนเทียน" border="0" class="img-mobile" height="334" src="http://hilight.kapook.com/img_cms2/varity_2/candle.jpg" style="height: 334px; width: 500px;" width="500" /></div>
<br /><br /><img border="0" src="http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/ann-113_2.gif" /> <strong><span style="background-color: yellow;">กิจกรรมต่างๆ ที่ควรปฏิบัติในวันมาฆบูชา</span></strong><br /><br /> การปฏิบัติตนสำหรับพุทธศาสนิกชนในวันมาฆบูชาคือ คือ ในตอนเช้า ควรไปทำบุญตักบาตร ไปวัดเพื่อฟังพระธรรมเทศนา หรือจัดสำรับคาวหวานไปทำบุญถวายภัตตาหาร ช่วงบ่ายฟังพระแสดงพระธรรมเทศนา เจริญสมาธิภาวนา เมื่อถึงตอนค่ำ นำดอกไม้ ธูปเทียนไปเวียนเทียน 3 รอบที่พระอุโบสถ โดยการเวียนเทียนนั้นจะเวียนขวา จำนวน 3 รอบ และช่วงเวลาที่เดินอยู่นั้นให้ระลึกถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นอกจากนี้พุทธศาสนิกชนควรบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ตามสถานที่ต่างๆ และรักษาศีล สำหรับตามบ้านเรือน สถานที่ราชการ จะมีการประดับธงชาติ ธงธรรมจักร เพื่อระลึกถึงวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา joebon007http://www.blogger.com/profile/13420953985502302487noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5411958568064325121.post-1799931562104910422013-01-23T18:31:00.001-08:002013-01-23T18:31:48.246-08:00วันตรุษจีน <b><b><a class="external text" href="http://chinesenewyear.kapook.com/" rel="nofollow" title="http://chinesenewyear.kapook.com">ตรุษจีน</a></b>
</b>เป็นเทศกาลที่สำคัญที่สุดของจีน เป็นวันขึ้นปีใหม่ตามปฎิทินจีน
เช่นเดียวกับสงกรานต์วันปีใหม่ไทย
ทุกคนต่างให้ความสำคัญอย่างยิ่งมีการเฉลิมฉลองทั่ว<a href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php/%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81" title="โลก">โลก</a>โดยเฉพาะชุมชนขนาดใหญ่ของคนเชื้อสายจีน
ตรุษจีนถือเป็นวันหยุดที่สำคัญมากช่วงหนึ่งของชาวจีน
และยังแผ่อิทธิพลไปถึงการฉลองปีใหม่ของ<a class="new" href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php?title=%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4&action=edit" title="ชนชาติ">ชนชาติ</a>ที่อยู่รายรอบ
เช่น <a href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php/%E0%B8%8D%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%9B%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%99" title="ญี่ปุ่น">ญี่ปุ่น</a>
<a class="new" href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php?title=%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B5&action=edit" title="เกาหลี">เกาหลี</a>
<a class="new" href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php?title=%E0%B8%A1%E0%B9%89%E0%B8%87&action=edit" title="ม้ง">ม้ง</a>
<a href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php/%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%82%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B8%A2" title="มองโกเลีย">มองโกเลีย</a>
<a href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php/%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A1" title="เวียดนาม">เวียดนาม</a>
<a href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php/%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%95" title="ทิเบต">ทิเบต</a>
<a href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php/%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%B2%E0%B8%A5" title="เนปาล">เนปาล</a>
และ<a class="new" href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php?title=%E0%B8%A0%E0%B8%B9%E0%B8%90%E0%B8%B2%E0%B8%99&action=edit" title="ภูฐาน">ภูฐาน</a>
สำหรับชาว<a href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php/%E0%B8%88%E0%B8%B5%E0%B8%99" title="จีน">จีน</a>ที่อาศัยอยู่ต่างถิ่นกันก็จะมีประเพณีเฉลิมฉลองต่างกันไป
<br />
<br /><br />
<br />
<table class="toc" id="toc" summary="สารบัญ">
<tbody>
<tr>
<td>
<div id="toctitle">
<h2>
</h2>
</div>
</td></tr>
</tbody></table>
<script type="text/javascript"> if (window.showTocToggle) { var tocShowText = "แสดงสารบัญ"; var tocHideText = "ซ่อนสารบัญ"; showTocToggle(); } </script><br />
<h2>
<span class="mw-headline">ตรุษจีนในภาษาจีน</span></h2>
<br />
<div align="center">
<a class="image" href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E:Chainese_14.jpg" title="ภาพ:Chainese_14.jpg"><img alt="ภาพ:Chainese_14.jpg" height="150" longdesc="/wiki/index.php/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E:Chainese_14.jpg" src="http://www.panyathai.or.th/wiki/images/Chainese_14.jpg" width="150" /></a></div>
<br />
<br /> <b>ตรุษจีน หรือ เทศกาลฤดูใบไม้ผลิ</b> (ตัวเต็ม: 春節, ตัวย่อ: 春节,
พินอิน: Chūnjíe ชุนจีเหย๋) หรือ ขึ้นปีเพาะปลูกใหม่ (ตัวเต็ม: 農曆新年, ตัวย่อ: 农历新年,
พินอิน: Nónglì Xīnnián หนงลี่ ซินเหนียน) และยังรู้จักกันในนาม
วันขึ้นปีใหม่ทางจันทรคติ
เป็นวันขึ้นปีใหม่ตามประเพณีของชาวจีนในจีนแผ่นดินใหญ่และชาวจีนโพ้นทะเลทั่วโลก
เทศกาลนี้เริ่มต้นในวันที่ 1 เดือน 1 ของปีตามจันทรคติ (正月 พินอิน: zhèng yuè
เจิ้งยวี่เย่) และสิ้นสุดในวันที่ 15 ซึ่งจะเป็นเทศกาลประดับโคมไฟ (ตัวเต็ม: 元宵節,
ตัวย่อ: 元宵节, พินอิน: yuán xiāo jié หยวนเซียวจีเหย๋) <br />
<br />
<br /><br />
<br />
<div align="center">
<a class="image" href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E:Chainese_5.jpg" title="ภาพ:Chainese_5.jpg"><img alt="ภาพ:Chainese_5.jpg" height="272" longdesc="/wiki/index.php/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E:Chainese_5.jpg" src="http://www.panyathai.or.th/wiki/images/Chainese_5.jpg" width="350" /></a></div>
<br />
<br /> <b>คืนก่อนวันตรุษจีน</b> ตามภาษาจีนกลางเรียกว่า 除夕 (พินอิน:
Chúxì ฉูซี่) หมายถึงการผลัดเปลี่ยนยามค่ำคืน
และคืนนี้จะเป็นวันสุดท้ายของปีนั่นเอง ซึ่งเป็นคืนที่ครึกครื้นที่สุด
ใครที่ไปทำงานห่างจากบ้านเกิด
ต่างก็พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะกลับมาฉลองวันปีใหม่ที่บ้าน
ตอนกินอาหารมื้อค่ำคืนก่อนขึ้นปีใหม่จีน
ทุกคนในครอบครัวต่างนั่งกันพร้อมหน้าล้อมโต๊ะ<a href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3" title="อาหาร">อาหาร</a>
ต่างชนแก้วอวยพรปีใหม่กัน ทานมื้อค่ำเรียบร้อยแล้ว บางคนก็ดูทีวี บางคนก็ฟังเพลง
บางคนก็นั่งคุยกัน บางคนก็เล่นหยอกล้อกับเด็กๆ บ้านเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
และเสียงหัวเราะ พอถึงเที่ยงคืน คนจีนทางเหนือก็จะเริ่มทำเกี๊ยว (เจี้ยวจึ)
คนจีนทางใต้ ก็จะปั้นลูกอี๋ทำน้ำเชื่อม ทำไป ชิมไปทานไป ครึกครื้นอย่างยิ่ง
เช้าวันรุ่งขึ้นแต่เช้า ทุกคนจะตื่นแต่เช้า เยี่ยมเพื่อนบ้าน เพื่อนฝูงอวยพรปีใหม่
<br />
<a href="http://www.blogger.com/null" name=".E0.B8.9B.E0.B8.A3.E0.B8.B0.E0.B8.A7.E0.B8.B1.E0.B8.95.E0.B8.B4.E0.B8.A7.E0.B8.B1.E0.B8.99.E0.B8.95.E0.B8.A3.E0.B8.B8.E0.B8.A9.E0.B8.88.E0.B8.B5.E0.B8.99"></a>
<br />
<h2>
<span class="mw-headline">ประวัติวันตรุษจีน</span></h2>
<br />
<div align="center">
<a class="image" href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E:Chainese_3.jpg" title="ภาพ:Chainese_3.jpg"><img alt="ภาพ:Chainese_3.jpg" height="233" longdesc="/wiki/index.php/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E:Chainese_3.jpg" src="http://www.panyathai.or.th/wiki/images/Chainese_3.jpg" width="350" /></a></div>
<br />
<br /> ประวัติของวันขึ้นปีใหม่ของจีนมีความน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง
ในวัฒนธรรมอื่นๆ ความปรารถนาสิ่งที่เราหวังว่าจะได้ปรับปรุง
หรือที่เราคิดทำเมื่อเริ่มต้นในปีใหม่ มาถึงตอนนี้
ถ้าไม่ถูกลืมก็ถูกยัดลงกล่องใส่ตู้ปิดตายและแปะหน้าตู้ว่าไม่แน่
เอาไว้ทำปีหน้าแล้วกันอย่างไรก็ดี
ความหวังก็คงยังไม่สูญไปทั้งหมดเพราะโอกาสที่สองกำลังมาถึงแล้ว
กับการฉลองวันปีใหม่จีนหรือที่เรารู้จักกันว่า ตรุษจีนในวันที่ 1 กุมภาพันธ์นี้
นั้นเอง <br />
<br />
ตรุษจีนนั้นคล้ายคลึงกับวันปีใหม่ในประเทศทางตะวันตก ร่องรอยของประเพณี
และพิธีกรรมความเป็นมาของการฉลองตรุษจีน นั้นมีมานานกว่าศตวรรษ จริงๆแล้วนานมาก
จนไม่สามารถย้อนกลับไปดูว่าเริ่มต้นฉลองมาตั้งแต่เมื่อไร
เป็นที่รู้จักและจำได้ทั่วไปว่าเป็น การฉลองเทศกาลฤดูใบไม้ผลิ
และการฉลองเป็นเวลานานถึง 15 วัน
การเตรียมงานฉลองส่วนใหญ่จะเริ่มหนึ่งเดือนก่อนวันตรุษจีน (คล้ายกับวัน
คริสต์มาสของประเทศตะวันตก) เมื่อผู้คนเริ่มซื้อของขวัญ, สิ่งต่างๆ
เพื่อประดับบ้านเรือน, อาหารและเสื้อผ้า
การทำความสะอาดครั้งใหญ่ก็เริ่มขึ้นในวันก่อนตรุษจีน บ้านเรือนจะถูก
ทำความสะอาดตั้งแต่บนลงล่างหน้าบ้านยันท้ายบ้าน ซึ่งหมายถึงการกวาดเอาโชคร้าย ออกไป
ประตูหน้าต่างมีการขัดสีฉวีวรรณทาสีใหม่ซึ่งสีแดงเป็นสีนิยม ประตูหน้าต่างจะถูก
ประดับประดาด้วยกระดาษที่มีคำอวยพรอย่างเช่น อยู่ดีมีสุข ร่ำรวย และอายุยืนเป็นต้น
<br />
<br />
<br /><br />
<br />
<div align="center">
<a class="image" href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E:Chainese_16.jpg" title="ภาพ:Chainese_16.jpg"><img alt="ภาพ:Chainese_16.jpg" height="263" longdesc="/wiki/index.php/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E:Chainese_16.jpg" src="http://www.panyathai.or.th/wiki/images/Chainese_16.jpg" width="350" /></a></div>
<br />
<br /> ทั้งหมดเห็นจะได้ ประเพณีและพิธีกรรมต่างๆ
นั้นผูกไว้กับทุกสิ่งทุกอย่าง ตั้งแต่ อาหาร ไปจนถึงเสื้อผ้า
อาหารค่ำนั้นประกอบด้วยอาหารทะเล และอาหารนึ่งเช่นขนมจีบ
ซึ่งแต่ละอย่างจะมีความหมายต่างๆกัน
อาหารอันโอชะอย่างเช่นกุ้งจะหมายถึงชีวิตที่รุ่งเรือง และความสุข
เป๋าฮื้อแห้งหมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่ดี สลัดปลาสดจะนำมาซึ่งโชคดี จี้ไช่
(ผมเทวดา) สาร่ายดูคล้ายผมแต่กินได้จะนำความความร่ำรวยมาให้ และขนมต้ม (Jiaozi)
หมายถึงบรรพชนอวยพร
และเป็นธรรมดาเสื้อผ้าที่ใส่สีแดงถือเป็นสีที่เป็นมงคลเป็นการไล่ปีศาจร้ายให้ออกไป
และการใส่สีดำหรือขาวเป็นสิ่งต้องห้าม ซึ่งสีเหล่านี้ถือว่าเป็นสีแห่งการไว้ทุกข์
หลังจากอาหารค่ำทุกคนในครอบครัวนั่งกันจนเช้าเพื่อรอวันใหม่โดยการเล่นเกม เล่นไพ่
หรือดูรายการทีวีที่เกี่ยวกับวันตรุษจีน และในวันนี้จะต้องไม่โกรธ ริษยา หรือ
ไม่พอใจ เพื่อเป็นสิริมงคลที่ดีสำหรับปีที่กำลังจะมาถึง <br />
<br />
เมื่อถึงวันตรุษจีน ประเพณีตั้งแต่โบราณมาเรียกว่า <a class="new" href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php?title=%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%B2&action=edit" title="อังเปา">อังเปา</a>
ซึ่งหมายถึง กระเป๋าแดง เป็นการที่คู่แต่งงานให้เงินเด็กๆ
และผู้ใหญ่ที่ยังไม่ได้แต่งงานในซองสีแดง หลังจากนั้นทุกคน ในครอบครัว ต่าง
ออกมาเพื่อกล่าวสวัสดีปีใหม่ เริ่มจากญาติๆ แล้วต่อด้วยเพื่อนบ้าน
ซึ่งคงคล้ายกับการที่ชาวตะวันตกพูดว่า "Let bygones be bygones"
(อะไรที่ผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไป) ในวันตรุษนี้ อารมณ์โมโหโกรธาจะถูกลืม
และไม่สนใจ การฉลองวันตรุษจีนสิ้นสุดลงในงานโคมไฟ ซึ่งฉลองโดยการร้องเพลง เต้นรำ
และงานแสดงโคมไฟ ถึงแม้ว่าการฉลองวันตรุษจีน
จะมีแตกต่างกันออกไปแต่สิ่งที่เหมือนกัน คือ การอวยพร ความสงบ
และความสุขให้กับคนในครอบครัวและเพื่อนทุกคน <br />
<a href="http://www.blogger.com/null" name=".E0.B8.95.E0.B8.B3.E0.B8.99.E0.B8.B2.E0.B8.99.E0.B8.A7.E0.B8.B1.E0.B8.99.E0.B8.95.E0.B8.A3.E0.B8.B8.E0.B8.A9.E0.B8.88.E0.B8.B5.E0.B8.99"></a>
<br />
<h2>
<span class="mw-headline">ตำนานวันตรุษจีน</span></h2>
<br />
<div align="center">
<a class="image" href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E:Chainese_13.jpg" title="ภาพ:Chainese_13.jpg"><img alt="ภาพ:Chainese_13.jpg" height="176" longdesc="/wiki/index.php/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E:Chainese_13.jpg" src="http://www.panyathai.or.th/wiki/images/Chainese_13.jpg" width="200" /></a></div>
<br />
<br /> ตรุษจีน เป็นวันสำคัญของจีนที่มีมาแต่โบราณที่เรียกว่า<b>
“กว้อชุนเจี๋ย”</b> หรือ “กว้อเหนียน” เล่ากันว่าในสมัยโบราณ ในป่าทึบแห่งหนึ่ง
มีสัตว์ป่าที่ดุร้ายและน่ากลัวมากตัวหนึ่ง เรียกว่า <b>“เหนียน”</b>
มันออกอาละวาดกินคนเป็นประจำ พระเจ้าจึงลงโทษมัน
อนุญาตให้มันลงมาจากเขาได้เพียงหนึ่งครั้งใน 365 วัน ดังนั้น
เมื่อฤดูหนาวใกล้จะผ่านไป ฤดูใบไม้ผลิเวียนมาใกล้ เหนียน ก็จะออกมาทำร้ายผู้คน
เพื่อป้องกันการมาของ เหนียน ทุก ๆ ครัวเรือนจึงต่างสะสมเสบียงอาหาร
และกับข้าวจำนวนหนึ่งไว้ในบ้าน เมื่อถึงตอนค่ำของวันที่ 30 เดือน 12
ก็จะปิดประตูและหน้าต่างเอาไว้ ไม่หลับไม่นอนตลอดคืน เพื่อต่อสู้กับ เหนียน
จนกระทั่งถึงรุ่งเช้าก็จะเป็นวันแรม 1 ค่ำ เดือน 1 เมื่อ เหนียน กลับไปแล้ว ทุก ๆ
ครัวเรือนก็จะเปิดประตูออกมาแสดงความยินดีต่อกัน ที่โชคดีไม่ได้ถูก เหนียน ทำร้าย
<br />
<br />
<br /><br />
<br />
<div align="center">
<a class="image" href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E:Chainese_15.jpg" title="ภาพ:Chainese_15.jpg"><img alt="ภาพ:Chainese_15.jpg" height="274" longdesc="/wiki/index.php/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E:Chainese_15.jpg" src="http://www.panyathai.or.th/wiki/images/Chainese_15.jpg" width="200" /></a></div>
<br />
<br /> ต่อมาพบว่า เหนียน มีจุดอ่อน มีอยู่ครั้งหนึ่ง เมื่อ เหนียน
มาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง มีเด็กกลุ่มหนึ่งกำลังหวดแส้เล่นกัน เมื่อ เหนียน
ได้ยินเสียงแส้ดังเปรี้ยงปร้างก็เลยตกใจเผ่นหนีไป เมื่อ เหนียน
ไปถึงหมู่บ้านอีกแห่งหนึ่ง เห็นมีชุดเสื้อผ้าสีแดงตากอยู่หน้าบ้านของครอบครัวหนึ่ง
สีแดงฉูดฉาดนั้น ทำให้ เหนียน ตกใจและเผ่นหนีไปอีก เมื่อ เหนียน
มาถึงหมู่บ้านแห่งที่สาม ปรากฏว่าไปพบเห็นกองเพลิงกองหนึ่งบนถนน
แสงเพลิงที่เจิดจ้าทำให้ เหนียน ต้องเผ่นหนีไปอีก ตั้งแต่นั้นมา ผู้คนต่างรู้ว่า
แม้ว่า เหนียน จะดุร้ายแต่มันก็กลัวสีแดง เสียงดัง และไฟ
ทำให้ผู้คนสามารถคิดหาวิธีกำจัด เหนียน ได้โดยไม่ยากนัก <br />
<br />
เมื่อวันส่งท้ายตรุษจีนเวียนมาอีกครั้งหนึ่ง ทุก ๆ
ครัวเรือนจึงต่างนำกระดาษสีแดงมาติดไว้บนประตูหน้าบ้าน แขวนโคมไฟสีแดง
พร้อมกับจุดประทัดและตีฆ้องรัวกลองอย่างต่อเนื่อง เมื่อ เหนียน มาถึงในตอนเย็น
เห็นทุก ๆ ครัวเรือนมีแสงไฟสว่างไสว
มีเสียงประทัดดังสนั่นจึงตกใจเผ่นหนีกลับเข้าป่าไป และไม่กล้าออกมาอาละวาดอีก ทุก ๆ
คนจึงผ่านพ้นคืนแห่งอันตรายไปอย่างปลอดภัย เมื่อฟ้าสางแล้ว ผู้คนจึงออกมาจากบ้าน
กล่าวคำอวยพรซึ่งกันและกันอย่างมีความสุข
พร้อมกับการนำอาหารออกมารับประทานร่วมกันอย่างสนุกสนาน <br />
<br />
ต่อมา
วันดังกล่าวจึงกลายมาเป็นวันเฉลิมฉลองที่มีแต่ความสุขที่เรียกกันว่า<b>
"ตรุษจีน"</b> <br />
<a href="http://www.blogger.com/null" name=".E0.B8.81.E0.B8.B2.E0.B8.A3.E0.B8.88.E0.B8.B8.E0.B8.94.E0.B8.9B.E0.B8.A3.E0.B8.B0.E0.B8.97.E0.B8.B1.E0.B8.94.E0.B9.81.E0.B8.A5.E0.B8.B0.E0.B9.80.E0.B8.8A.E0.B8.B4.E0.B8.94.E0.B8.AA.E0.B8.B4.E0.B8.87.E0.B9.82.E0.B8.95.E0.B9.83.E0.B8.99.E0.B8.A7.E0.B8.B1.E0.B8.99.E0.B8.95.E0.B8.A3.E0.B8.B8.E0.B8.A9.E0.B8.88.E0.B8.B5.E0.B8.99"></a>
<br />
<h2>
<span class="mw-headline">การจุดประทัดและเชิดสิงโตในวันตรุษจีน</span></h2>
<br />
<b>การจุดประทัด</b>
เกิดจากในอดีตมีคนหัวใสนำดินระเบิดไปบรรจุในบ้องไม้ไผ่เล็กๆ แล้วจุด
เสียงไม้ไผ่ระเบิดก็ดังสนั่นหู เด็กเล็กได้ยินก็ร้องจ้า
บรรดาสุนัขและสัตว์เลี้ยงทั้งหลายต่างพากันกลัวเสียงประทัดวิ่งหนีกันได้ <br />
<br />
ทำให้มีคนคิดว่าเสียงดังโป้งป้างของประทัด น่าจะไล่เจ้าตัวเหนียนได้
ซึ่งเหนียนคำนี้เป็นเสียงจีนกลาง จีนแต้จิ๋วออกเสียงว่า นี้ แปลว่า ปี
คนจีนโบราณเชื่อว่าช่วงสิ้นปีที่อากาศหนาวเย็นจัดคนไม่สบายกันมาก
เพราะเจ้าตัวเหนียนออกมาอาละวาด
การจุดประทัดเสียงดังน่าจะไล่เจ้าตัวเหนียนและโรคภัยไข้เจ็บให้ตกใจกลัวหนีไปได้
<br />
<br />
แล้วต่อมาธรรมเนียมนี้ก็ปรับไปว่า จุดประทัดให้เสียงดังๆ
นี้จะเรียกโชคดีให้มาหา บ้างก็ว่า เพื่อให้สะดุดหูเทพเจ้า ท่านจะได้มาช่วยคุ้มครอง
<br />
<br />
<b>ส่วนการเชิดสิงโตวันตรุษจีน
</b>ที่บางท้องที่จัดเป็นพิธีแห่มังกรใหญ่โต โดยคนจีนเรียกการแสดงเชิดสิงโตว่า
ไซ่จื้อบู่ แปลง่ายๆ ว่า ระบุลูกสิงโต จัดอยู่ในหมวดการแสดงสวมหน้ากากสัตว์
จากบันทึกของราชวงศ์เหนือ...ใต้ (พ.ศ. 850 – 1132) เมื่อชาวบ้านในมณฑลกวางตุ้ง
มีการแสดงเชิดสิงโตเพื่อไล่ผีที่เชื่อว่า มาลงกินผู้ชายและสัตว์เลี้ยง
ก่อเกิดเป็นความเชื่อว่า เชิดสิงโตช่วยไล่ภูตผีปีศาจได้
ก็เลยเข้าคู่กันเหมาะมากกับการจุดประทัดวันตรุษจีน <br />
<br />
<b>ส่วนการแห่มังกร </b>ก็เริ่มจากในสมัยราชวงศ์จิ๋นหรือฉิน (พ.ศ. 254
– 339) จัดเป็นการแสดงเล็กๆ แล้วมาจัดเป็นโชว์ใหญ่ที่สวยตระการตาในสมัยราชวงศ์ฮั่น
(พ.ศ. 337 – 763)
โดยเริ่มต้นจะมาจากตำนานปลาหลีฮื้อกระโดดข้ามประตูสวรรค์ก็จะกลายเป็นปลามังกรมีฤทธิ์เดช
โดยปลามังกรนี้ คือสัตว์ยิ่งใหญ่มีพลังอำนาจ
ใครได้พบได้ชมก็จะได้รับพลังช่วยเสริมให้เจ้าตัวโชคดีทำมาหากินได้ผลบริบูรณ์ <br />
<br />
แต่เนื่องจากทั้งการเชิดสิงโตและแห่มังกรนี้
ผู้แสดงต้องมีความสามารถพิเศษในเชิงกายกรรมต่อตัว การสมดุลตัว
ที่สุดของการเชิดสิงโตคือการได้ซองอั่งเปา สุดยอดของการแห่มังกรคือ
การต่อตัวขึ้นไปเพื่อหยิบซองอั่งเปาบนไม้สูงที่เมื่อทำได้
ความหมายของการได้ซองอั่งเปานี้คือ การจะได้โชคดีกันถ้วนหน้าตลอดปีทีเดียว <br />
<br />
<br /><br />
<a href="http://www.blogger.com/null" name=".E0.B8.95.E0.B8.A3.E0.B8.B8.E0.B8.A9.E0.B8.88.E0.B8.B5.E0.B8.99.E0.B9.83.E0.B8.99.E0.B8.9B.E0.B8.A3.E0.B8.B0.E0.B9.80.E0.B8.97.E0.B8.A8.E0.B9.84.E0.B8.97.E0.B8.A2"></a>
<br />
<h2>
<span class="mw-headline">ตรุษจีนในประเทศไทย</span></h2>
<br />
<div align="center">
<a class="image" href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E:Chainese_9.jpg" title="ภาพ:Chainese_9.jpg"><img alt="ภาพ:Chainese_9.jpg" height="260" longdesc="/wiki/index.php/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E:Chainese_9.jpg" src="http://www.panyathai.or.th/wiki/images/Chainese_9.jpg" width="350" /></a></div>
<br />
<br /> ชาวไทยเชื้อสายจีนจะถือประเพณีปฏิบัติอยู่ 3 วัน คือวันจ่าย
วันไหว้ และวันปีใหม่ <br />
<a href="http://www.blogger.com/null" name=".E0.B8.A7.E0.B8.B1.E0.B8.99.E0.B8.88.E0.B9.88.E0.B8.B2.E0.B8.A2_.E0.B8.AB.E0.B8.A3.E0.B8.B7.E0.B8.AD_.E0.B8.95.E0.B8.B7.E0.B9.88.E0.B8.AD.E0.B9.80.E0.B8.AA.E0.B9.87.E0.B8.81"></a>
<br />
<h3>
<span class="mw-headline">วันจ่าย หรือ ตื่อเส็ก</span></h3>
<br />
คือวันก่อนวันสิ้นปี
เป็นวันที่ชาวไทยเชื้อสายจีนจะต้องไปซื้ออาหารผลไม้และเครื่องเซ่นไหว้ต่างๆ
ก่อนที่ร้านค้าทั้งหลายจะปิดร้ายหยุดพักผ่อนยาว
ในตอนค่ำจะมีการจุดธูปอัญเชิญเจ้าที่ หรือ ตี่จู๋เอี๊ย
ให้ลงมาจากสวรรค์เพื่อรับการสักการะบูชาของเจ้าบ้าน
หลังจากที่ได้ไหว้อัญเชิญขึ้นสวรรค์เมื่อ 4 วันที่แล้ว <br />
<a href="http://www.blogger.com/null" name=".E0.B8.A7.E0.B8.B1.E0.B8.99.E0.B9.84.E0.B8.AB.E0.B8.A7.E0.B9.89_.E0.B8.84.E0.B8.B7.E0.B8.AD_.E0.B8.A7.E0.B8.B1.E0.B8.99.E0.B8.AA.E0.B8.B4.E0.B9.89.E0.B8.99.E0.B8.9B.E0.B8.B5"></a>
<br />
<h3>
<span class="mw-headline">วันไหว้ คือ วันสิ้นปี</span></h3>
<br />
<div align="center">
<a class="image" href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E:Chainese_8.jpg" title="ภาพ:Chainese_8.jpg"><img alt="ภาพ:Chainese_8.jpg" height="222" longdesc="/wiki/index.php/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E:Chainese_8.jpg" src="http://www.panyathai.or.th/wiki/images/Chainese_8.jpg" width="350" /></a></div>
<br />
<br /> <i>จะมีการไหว้ 3 ครั้ง คือ </i><br />
<br />
<b>ตอนเช้ามืดจะไหว้ ไป๊เล่าเอี๊ย</b> เป็นการไหว้เทพเจ้าต่างๆ
เครื่องไหว้คือ เนื้อสัตว์ 3 อย่าง (ซาแซ ได้แก่ หมูสามชั้นต้ม ไก่ เป็ด
ปรับเปลี่ยนเป็นชนิดอื่นได้ หรือมากกว่านั้นได้จนเป็นเนื้อสัตว์ห้าชนิด) เหล้า
น้ำชา และกระดาษเงินกระดาษทอง <br />
<br />
<b>ตอนสาย จะไหว้ไป๊เป้บ๊อ </b>คือการไหว้บรรพบุรุษ
พอ่แม่ญาติพี่น้องที่ถึงแก่กรรมไปแล้ว เป็นการแสดงความกตัญญูตามคติจีน
การไหว้ครั้งนี้จะไหว้ไม่เกินเที่ยง เครื่องไหว้จะประกอบด้วย ซาแซ อาหารคาวหวาน
(ส่วนมากจะทำตามที่ผู้ที่ล่วงลับเคยชอบ) รวมทั้งการเผากระดาษเงินกระดาษทอง
เสื้อผ้ากระดาษเพื่ออุทิศแก่ผู้ล่วงลับ หลังจากนั้น
ญาติพี่น้องจะมารวมกันรับประทานอาหารที่ได้เซ่นไหว้ไปเป็นสิริมงคล
และถือเป็นเวลาที่ครอบครัวหรือวงศ์ตระกูลจะรวมตัวกันได้มากที่สุด
จะแลกเปลี่ยนอั่งเปาหลังจากรับประทานอาหารร่วมกันแล้ว <br />
<br />
<b>ตอนบ่าย จะไหว้</b> ไป๊ฮ้อเฮียตี๋
เป็นการไหว้ผีพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว เครื่องไหว้จะเป็นพวกขนมเข่ง ขนมเทียน
เผือกเชื่อมน้ำตาล กระดาษเงินกระดาษทอง
พร้อมทั้งมีการจุดประทับเพื่อไล่สิ่งชั่วร้ายและเป็นสิริมงคล <br />
<a href="http://www.blogger.com/null" name=".E0.B8.A7.E0.B8.B1.E0.B8.99.E0.B8.82.E0.B8.B6.E0.B9.89.E0.B8.99.E0.B8.9B.E0.B8.B5.E0.B9.83.E0.B8.AB.E0.B8.A1.E0.B9.88_.E0.B8.AB.E0.B8.A3.E0.B8.B7.E0.B8.AD_.E0.B8.A7.E0.B8.B1.E0.B8.99.E0.B9.80.E0.B8.97.E0.B8.B5.E0.B9.88.E0.B8.A2.E0.B8.A7_.E0.B8.AB.E0.B8.A3.E0.B8.B7.E0.B8.AD_.E0.B8.A7.E0.B8.B1.E0.B8.99.E0.B8.96.E0.B8.B7.E0.B8.AD"></a>
<br />
<h3>
<span class="mw-headline">วันขึ้นปีใหม่ หรือ วันเที่ยว หรือ วันถือ </span></h3>
<br />
คือวันที่หนึ่งของเดือนที่หนึ่งของปี (ชิวอิก) วันนี้
ชาวจีนจะถือธรรมเนียมโบราณที่ยังปฏิบัติสืบต่อกันมาถึงปัจจุบัน คือ ไป๊เจีย คือ
การไปไหว้ขอพรและอวยพรจากญาติผู้ใหญ่และผู้ที่เคารพรัก โดยนำส้มสีทองไปมอบให้
เหตุที่ให้ส้มก็เพราะออกเสียงภาษาจีนแต้จิ๋วว่า "กา" ซึ่งไปพ้องกับคำว่าทอง
เพราะฉะนั้นการให้ส้มจึงเหมือนนำโชคดีไปให้ จะมอบส้มจำนวน 4 ผล
ห่อด้วยผ้าเช็ดหน้าของผู้ชาย เหตุที่เรียกวันนี้ว่าวันถือคือ
เป็นวันที่ชาวจีนถือว่าเป็นสิริมงคล งดการทำบาป จะมีคติถือบางอย่าง เช่น
ไม่พูดจาไม่ดีต่อกัน ไม่ทวงหนี้กัน ไม่จับไม้กวาด
และจะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าใหม่แล้วออกเยี่ยมอวยพรและพักผ่อนนอกบ้าน เป็นต้น <br />
<a href="http://www.blogger.com/null" name=".E0.B8.81.E0.B8.B2.E0.B8.A3.E0.B9.84.E0.B8.AB.E0.B8.A7.E0.B9.89.E0.B9.80.E0.B8.88.E0.B9.89.E0.B8.B2"></a>
<br />
<h2>
<span class="mw-headline">การไหว้เจ้า</span></h2>
<br />
<div align="center">
<a class="image" href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E:Chainese_12.jpg" title="ภาพ:Chainese_12.jpg"><img alt="ภาพ:Chainese_12.jpg" height="255" longdesc="/wiki/index.php/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E:Chainese_12.jpg" src="http://www.panyathai.or.th/wiki/images/Chainese_12.jpg" width="154" /></a></div>
<br />
<br /> การไหว้เจ้าเป็นธรรมเนียมประเพณีที่ลูกหลานจีนปฏิบัติสืบทอดกันมา
ตามความเชื่อที่จะต้องไหว้เจ้าที่ และไหว้บรรพบุรุษ เพื่อให้เป็นสิริมงคล
และนำมาซึ่งความสุข ความเจริญแก่ครอบครัว ในปีหนึ่งมีการไหว้เจ้า 8 ครั้ง เรียกว่า
โป๊ยโจ่ย แปลว่า 8 เทศกาล ดังนี้ <br />
<br />
<ul>
<li>ไหว้เดือน 1 วันที่ 1 (เป็นการกำหนดวันทางจันทรคติของจีน) คือ ตรุษจีน เรียกว่า
ง่วงตั้งโจ่ย </li>
</ul>
<br />
<ul>
<li>ไหว้เดือน 1 วันที่ 15 เรียกว่า ง่วงเซียวโจ่ย </li>
</ul>
<br />
<ul>
<li>ไหว้เดือน 3 วันที่ 4 เรียกว่า ไหว้เช็งเม้ง
เป็นประเพณีที่ลูกหลานไปไหว้บรรพบุรุษที่ฮวงซุ้ย </li>
</ul>
<br />
<ul>
<li>ไหว้เดือน 5 วันที่ 5 เรียกว่า โหงวเหว่ยโจ่ย เป็นเทศกาลไหว้ขนมจ้าง </li>
</ul>
<br />
<ul>
<li>ไหว้เดือน 7 วันที่ 15 คือ ไหว้สารทจีน เรียกว่า ตงง้วงโจ่ย </li>
</ul>
<br />
<ul>
<li>ไหว้เดือน 8 วันที่ 15 เรียกว่า ตงชิวโจ่ย ที่คนทั่วไปรู้จักกันดีว่า
ไหว้พระจันทร์ </li>
</ul>
<br />
<ul>
<li>ไหว้เดือน 11 ไม่กำหนดวันแน่นอน เรียกว่า ไหว้ตังโจ่ย </li>
</ul>
<br />
<ul>
<li>ไหว้เดือน 12 วันสิ้นปี เรียกว่า ไหว้สิ้นปี หรือ ก๊วยนี้โจ่ย </li>
</ul>
<br />
นอกจากนี้บางบ้านยังมีการไหว้พิเศษ คือการไหว้เทพยดาที่ตนเองเคารพนับถือ เช่น
<br />
<br />
<ul>
<li>ไหว้เทพยดาฟ้าดิน เช่นการไหว้วันเกิดเทพยดา ฟ้าดิน เรียกว่า ทีกงแซ หรือ
ทีตี่แซ ตรงกับวันที่ 9 เดือน 1 ของจีน </li>
</ul>
<br />
<ul>
<li>ไหว้อาเนี๊ยแซ คือไหว้วันเกิดเจ้าแม่กวนอิม ปีหนึ่งมี 3 ครั้ง คือวันที่ 19
เดือน 2 วันที่ 19 เดือน 6 และวันที่ 19 เดือน 9 </li>
</ul>
<br />
<ul>
<li>ไหว้แป๊ะกงแซ ตรงกับวันที่ 14 เดือน 3 </li>
</ul>
<br />
<ul>
<li>ไหว้เทพยดาผืนดิน คือไหว้โท้วตี่ซิ้ง ตรงกับวันที่ 29 เดือน 3 </li>
</ul>
<br />
<ul>
<li>ไหว้อาพั๊ว คือการไหว้วันเกิดอาพั๊ว หรืออาพั๊วแซ ซึ่งอาพั๊ว หมายถึง
พ่อซื้อแม่ซื้อผู้คุ้มครองเด็ก ตรงกับวันที่ 7 เดือน 7 ของทุกปี </li>
</ul>
<br />
<ul>
<li>ไหว้เจ้าเตา คือไหว้วันที่ 24 เดือน 12 เรียกว่า ไหว้เจ๊าซิ้ง </li>
</ul>
<a href="http://www.blogger.com/null" name=".E0.B8.AD.E0.B8.B2.E0.B8.AB.E0.B8.B2.E0.B8.A3.E0.B9.84.E0.B8.AB.E0.B8.A7.E0.B9.89.E0.B9.80.E0.B8.88.E0.B9.89.E0.B8.B2"></a>
<br />
<h2>
<span class="mw-headline">อาหารไหว้เจ้า</span></h2>
<br />
<div align="center">
<a class="image" href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E:Chainese_17.jpg" title="ภาพ:Chainese_17.jpg"><img alt="ภาพ:Chainese_17.jpg" height="444" longdesc="/wiki/index.php/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E:Chainese_17.jpg" src="http://www.panyathai.or.th/wiki/images/Chainese_17.jpg" width="300" /></a></div>
<br />
<br /> ในวันฉลองตรุษจีนอาหารจะถูกรับประทานมากกว่าวันไหนๆในปี
อาหารชนิดต่างๆที่ปฏิบัติกันจนเป็นประเพณี
จะถูกจัดเตรียมเพื่อญาติพี่น้องและเพื่อนฝูง รวมไปถึงคนรู้จักที่ได้เสียไปแล้ว
ในวันตรุษครอบครัวชาวจีนจะทานผักที่เรียกว่า ไช่ ถึงแม้ผักชนิดต่างๆที่นำมาปรุง
จะเป็นเพียงรากหรือผักที่มีลักษณะเป็นเส้นใยหลายคนก็เชื่อว่าผักต่างๆมีความหมายที่เป็น
มงคลในตัวของมัน <br />
<br />
<br /><br />
<br />
<div align="center">
<a class="image" href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E:Chainese_11.jpg" title="ภาพ:Chainese_11.jpg"><img alt="ภาพ:Chainese_11.jpg" height="273" longdesc="/wiki/index.php/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E:Chainese_11.jpg" src="http://www.panyathai.or.th/wiki/images/Chainese_11.jpg" width="300" /></a></div>
<br />
<br /><br />
<br />
<ul>
<li><b>เม็ดบัว -</b> มีความหมายถึง การมีลูกหลานที่เป็นชาย
<li><b>เกาลัด -</b> มีความหมายถึง เงิน
<li><b>สาหร่ายดำ -</b> คำของมันออกเสียงคล้าย ความร่ำรวย
<li><b>เต้าหู้หมักที่ทำจากถั่วแห้ง -</b> คำของมันออกเสียงคล้าย
เต็มไปด้วยความร่ำรวย และ ความสุข
<li><b>หน่อไม้ -</b> คำของมันออกเสียงคล้าย คำอวยพรให้ทุกอย่างเต็มไปด้วยความสุข
เต้าหู้ที่ทำจากถั่วสดนั้นจะไม่นำมารวมกับอาหารในวันนี้เนื่องจากสีขาวซึ่งเป็นสีแห่งโชคร้าย
สำหรับปีใหม่และหมายถึงการไว้ทุกข์ </li>
</li>
</li>
</li>
</li>
</ul>
<br />
<br /><br />
<br />
<div align="center">
<a class="image" href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E:Chainese_10.jpg" title="ภาพ:Chainese_10.jpg"><img alt="ภาพ:Chainese_10.jpg" height="264" longdesc="/wiki/index.php/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E:Chainese_10.jpg" src="http://www.panyathai.or.th/wiki/images/Chainese_10.jpg" width="350" /></a></div>
<br />
<br /> อาหารอื่นๆ รวมไปถึงปลาทั้งตัว เพื่อเป็นตัวแทนแห่งการอยู่ร่วมกัน
และความอุดม- สมบรูณ์ และไก่สำหรับความเจริญก้าวหน้า ซึ่งไก่นั้นจะต้องยังมีหัว
หางและเท้าอยู่ เพื่อ เป็นการแสดงให้เห็นถึงความสมบูรณ์
เส้นหมี่ก็ไม่ควรตัดเนื่องจากหมายถึงชีวิตที่ยืนยาว <br />
<br />
ทางตอนใต้ของจีน จานที่นิยมที่สุดและทานมากที่สุดได้แก่
ข้าวเหนียวหวานนึ่ง บ๊ะจ่างหวาน ซึ่งถือเป็นอาหารอันโอชะ ทางเหนือ หมั่นโถ
และติ่มซำ เป็นอาหารที่นิยม อาหารจำนวน มากที่ถูกตระเตรียมในเทศกาลนี้มีความหมายถึง
ความอุดมสมบูรณ์และความร่ำรวยของบ้าน <br />
<a href="http://www.blogger.com/null" name=".E0.B8.84.E0.B8.A7.E0.B8.B2.E0.B8.A1.E0.B9.80.E0.B8.8A.E0.B8.B7.E0.B9.88.E0.B8.AD.E0.B9.82.E0.B8.8A.E0.B8.84.E0.B8.A5.E0.B8.B2.E0.B8.87.E0.B9.83.E0.B8.99.E0.B8.A7.E0.B8.B1.E0.B8.99.E0.B8.95.E0.B8.A3.E0.B8.B8.E0.B8.A9.E0.B8.88.E0.B8.B5.E0.B8.99"></a>
<br />
<h2>
<span class="mw-headline">ความเชื่อโชคลางในวันตรุษจีน</span></h2>
<br />
<div align="center">
<a class="image" href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E:Chainese_6.jpg" title="ภาพ:Chainese_6.jpg"><img alt="ภาพ:Chainese_6.jpg" height="265" longdesc="/wiki/index.php/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E:Chainese_6.jpg" src="http://www.panyathai.or.th/wiki/images/Chainese_6.jpg" width="350" /></a></div>
<br />
<br /> ทุกคนจะไม่พูดคำหยาบหรือพูดคำที่ไม่เป็นมงคล ความหมายเป็นนัย
และคำว่า สี่ ซึ่งออกเสียงคล้ายความตายก็จะต้องไม่พูดออกมา
ต้องไม่มีการพูดถึงความตายหรือการใกล้ตาย และเรื่องผีสางเป็นเรื่องที่ต้องห้าม
เรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นในปีเก่าๆ ก็จะไม่เอามาพูดถึง
ซึ่งการพูดควรมีแต่เรื่องอนาคต และทุกอย่างที่ดีกับปีใหม่และการเริ่มต้นใหม่ <br />
<br />
หากคุณร้องไห้ในวันปีใหม่ คุณจะมีเรื่องเสียใจไปตลอดปี
ดังนั้นแม้แต่เด็กดื้อที่ปฎิบัติตัวไม่ดีผู้ใหญ่ก็จะทน และไม่ตีสั่งสอน <br />
<br />
การแต่งกายและความสะอาด
ในวันตรุษจีนเราไม่ควรสระผมเพราะนั้นจะหมายถึงเราชะล้างความโชคดีของเราออกไป
เสื้อผ้าสีแดงเป็นสีที่นิยมสวมใส่ในช่วงเทศกาลนี้ สีแดงถือเป็นสีสว่าง
สีแห่งความสุข ซึ่งจะนำความสว่างและเจิดจ้ามาให้แก่ผู้สวมใส่
เชื่อกันว่าอารมณ์และการปฏิบัติตนในวันปีใหม่
จะส่งให้มีผลดีหรือผลร้ายได้ตลอดทั้งปี เด็ก ๆ และคนโสด
เพื่อรวมไปถึงญาติใกล้ชิดจะได้ อังเปา ซึ่งเป็นซองสีแดงใส่ด้วย
ธนบัตรใหม่เพื่อโชคดี <br />
<br />
วันตรุษจีนกับความเชื่ออื่น ๆ สำหรับคนที่เชื่อโชคลางมากๆ
ก่อนออกจากบ้านเพื่อไปเยี่ยมเยียนเพื่อนหรือญาติ อาจมีการเชิญซินแส
เพื่อหาฤกษ์ที่เหมาะสมในการออกจากบ้านและทางที่จะไปเพื่อ เป็นความเป็นสิริมงคล <br />
<br />
บุคคลแรกที่พบและคำพูดที่ได้ยินคำแรกของปีมีความหมายสำคัญมาก
ถือว่าจะส่งให้มีผลได้ตลอดทั้งปี การได้ยินนกร้องเพลงหรือเห็นนกสีแดงหรือนกนางแอ่น
ถือเป็นโชคดี <br />
<br />
การเข้าไปหาใครในห้องนอนในวันตรุษ
ถือเป็นโชคร้ายดังนั้นไม่ว่าจะเป็นคนป่วยก็ต้องแต่งตัวออกมานั่งในห้องรับแขก <br />
<br />
ไม่ควรใช้มีดหรือกรรไกรในวันตรุษเพราะเชื่อว่าจะเป็นการตัดโชคดี
ทุกวันนี้ไม่ใช่ว่าชาวจีนทุกคนจะคงยังเชื่อตามความเชื่อที่มีมาแต่ทุกคนก็ยังคงยึดถือ
และปฎิบัติตาม เพราะสิ่งเหล่านี้เปรียบเสมือนธรรมเนียม และวัฒนธรรม โดยที่ชาวจีน
ตระหนักดีว่าการปฏิบัติตามขนบธรรมเนียมมาแต่เก่าก่อนเป็นการแสดงถึงความเป็น
ครอบครัวและเอกลักษณ์ ของตน <br />
<a href="http://www.blogger.com/null" name="15_.E0.B8.A7.E0.B8.B1.E0.B8.99.E0.B9.81.E0.B8.AB.E0.B9.88.E0.B8.87.E0.B8.81.E0.B8.B2.E0.B8.A3.E0.B8.89.E0.B8.A5.E0.B8.AD.E0.B8.87.E0.B8.95.E0.B8.A3.E0.B8.B8.E0.B8.A9.E0.B8.88.E0.B8.B5.E0.B8.99"></a>
<br />
<h2>
<span class="mw-headline">15 วันแห่งการฉลองตรุษจีน</span></h2>
<br />
<div align="center">
<a class="image" href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E:Chainese_4.jpg" title="ภาพ:Chainese_4.jpg"><img alt="ภาพ:Chainese_4.jpg" height="280" longdesc="/wiki/index.php/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E:Chainese_4.jpg" src="http://www.panyathai.or.th/wiki/images/Chainese_4.jpg" width="350" /></a></div>
<br />
<br /><br />
<br />
<ul>
<li><b>วันแรกของปีใหม่</b> เป็นการต้อนรับเทวดาแห่งสวรรค์และโลก หลายคนงดทานเนื้อ
ในวันนี้ด้วยความเชื่อที่ว่าจะเป็นการต่ออายุและนำมาซึ่งความสุขในชีวิตให้กับตน
</li>
</ul>
<br />
<ul>
<li><b>วันที่สอง</b> ชาวจีนจะไหว้บรรพชนและเทวดาทั้งหลาย และจะดีเป็นพิเศษกับสุนัข
เลี้ยงดูให้ข้าวอาบ น้ำให้แก่มัน ด้วยเชื่อว่า วันที่สองนี้เป็นวันที่สุนัขเกิด
</li>
</ul>
<br />
<ul>
<li><b>วันที่สามและสี่</b>
เป็นวันของบุตรเขยที่จะต้องทำความเคารพแก่พ่อตาแม่ยายของตน </li>
</ul>
<br />
<ul>
<li><b>วันที่ห้า</b> เรียกว่า พูวู
ซึ่งวันนี้ทุกคนจะอยู่กับบ้านเพื่อต้อนรับการมาเยือน ของเทพเจ้าแห่งความร่ำรวย
ในวันนี้จะไม่มีใครไปเยี่ยมใครเพราะจะถือว่าเป็นการนำโชคร้าย มาแก่ทั้งสองฝ่าย
</li>
</ul>
<br />
<ul>
<li><b>วันที่หก</b> ถึงสิบชาวจีนจะเดินทางไปเยี่ยมเยียนญาติพี่น้องเพื่อนฝูงของ
ครอบครัว และไปวัดไปวาสวดมนต์เพื่อความร่ำรวยและความสุข </li>
</ul>
<br />
<ul>
<li><b>วันที่เจ็ด</b>
ของตุรุษจีนเป็นวันที่ชาวนานำเอาผลผลิตของตนออกมาชาวนาเหล่านี้จะทำน้ำที่ทำมาจากผักเจ็ดชนิดเพื่อฉลองวันนี้
วันที่เจ็ดถือเป็นวันเกิด ของมนุษย์ในวันนี้อาหารจะเป็น
หมี่ซั่วกินเพื่อชีวิตที่ยาวนานและปลาดิบเพื่อความสำเร็จ </li>
</ul>
<br />
<ul>
<li><b>วันที่แปด</b> ชาวฟูเจียน จะมีการทานอาหารร่วมกันกับครอบครอบอีกครั้ง
และเมื่อถึงเวลาเที่ยงคืนทุกคนจะสวดมนต์ของพรจาก เทียนกง เทพแห่งสวรรค์ </li>
</ul>
<br />
<ul>
<li><b>วันที่เก้า</b> จะสวดมนต์ไหว้และถวายอาหารแก่ เง็กเซียนฮ่องเต้ </li>
</ul>
<br />
<ul>
<li><b>วันที่สิบถึงวันที่สิบสอง</b> เป็นวันของเพื่อนและญาติๆ
ซึ่งควรเชื้อเชิญมาทานอาหารเย็น และหลังจากที่ทานอาหารที่อุดมไปด้วยความมัน
วันที่สิบสามถือเป็นวันที่เราควรทานข้าวธรรมดากับผักดองกิมกิ
ถือเป็นการชำระล้างร่างกาย </li>
</ul>
<br />
<ul>
<li><b>วันที่สิบสี่</b> ความเป็นวันที่เตรียมงานฉลองโคมไฟซึ่งจะมีขึ้น
ในคืนของวันที่สิบห้าแห่งการฉลองตรุษจีน </li>
</ul>
<a href="http://www.blogger.com/null" name=".E0.B8.AA.E0.B8.B4.E0.B9.88.E0.B8.87.E0.B8.97.E0.B8.B5.E0.B9.88.E0.B9.84.E0.B8.A1.E0.B9.88.E0.B8.84.E0.B8.A7.E0.B8.A3.E0.B8.97.E0.B8.B3.E0.B8.A7.E0.B8.B1.E0.B8.99.E0.B8.95.E0.B8.A3.E0.B8.B8.E0.B8.A9.E0.B8.88.E0.B8.B5.E0.B8.99"></a>
<br />
<h2>
<span class="mw-headline">สิ่งที่ไม่ควรทำวันตรุษจีน</span></h2>
<br />
<div align="center">
<a class="image" href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E:Chainese_2.jpg" title="ภาพ:Chainese_2.jpg"><img alt="ภาพ:Chainese_2.jpg" height="376" longdesc="/wiki/index.php/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E:Chainese_2.jpg" src="http://www.panyathai.or.th/wiki/images/Chainese_2.jpg" width="300" /></a></div>
<br />
<br /><br />
<br />
<ul>
<li><b>ห้ามทำความสะอาด </b>เนื่องจากการทำงานบ้าน เช่น การซักล้าง หรือ
การกวาดบ้านปัดฝุ่น จะเป็นการขับไล่ความโชคดีออกไป
ดังนั้นการทำความสะอาดบ้านจึงควรเริ่มทำตั้งแต่ก่อนที่วันขึ้นปีใหม่จะมาถึง
</li>
</ul>
<br />
<ul>
<li><b>ห้ามสระผม </b>ไม่ควรสระผมในวันเริ่มต้นและวันสุดท้ายของวันขึ้นปีใหม่
เนื่องจากการสระผมถือเป็นการชะล้างความโชคดีที่มาถึงในวันขึ้นปีใหม่ </li>
</ul>
<br />
<ul>
<li><b>ห้ามใช้ของมีคม</b> ไม่ควรใช้ของมีคมในวันขึ้นปีใหม่ ของมีคมต่างๆ เช่น มีด
, กรรไกร , ที่ตัดเล็บ
เนื่องจากถือว่าการกระทำของของมีคมนี้จะเป็นการตัดสิ่งหรืออนาคตที่ดี ที่จะนำมา
ในวันขึ้นปีใหม่ </li>
</ul>
<br />
<ul>
<li><b>ห้ามโต้เถียง</b>
ควรระมัดระวังในการใช้คำพูดที่มีความหมายไปในทางลบรวมทั้งหลีกเลี่ยงการโต้เถียงกัน
คำที่เกี่ยวข้องกับการเจ็บป่วยหรือความตายเป็นคำที่เราควรหลีกเลี่ยงในวันขึ้นปีใหม่
</li>
</ul>
<br />
<ul>
<li><b>เลี่ยงเรื่องเกี่ยวกับความตาย
</b>หลีกเลี่ยงการเข้าร่วมกิจกรรมที่เกี่ยวกับงานศพ และการฆ่าสัตว์ปีก </li>
</ul>
<br />
<ul>
<li><b>ห้ามซุ่มซ่าม</b> ควรระมัดระวังในการทำสิ่งใดๆ ไม่ควรที่จะให้เกิดการสะดุด
หรือ ทำสิ่งของตกแตก ซึ่งนั่นจะหมายถึงการนำความโชคไม่ดีเข้ามาในอนาคต </li>
</ul>
joebon007http://www.blogger.com/profile/13420953985502302487noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5411958568064325121.post-42968018442752376352013-01-04T02:06:00.001-08:002013-01-04T02:06:06.587-08:00วันครู<span style="color: blue;"><br /></span> เดือนมิถุนายนวนเวียนมาถึงอีกครั้ง บรรดานักเรียนทั้งหลายคงจำกันได้ดีว่า วันพฤหัสบดีแรกของเดือนมิถุนายน จะเป็นวันไหว้ครู ซึ่งตามโรงเรียนต่าง ๆ ก็จะมีพิธีการระลึกถึงคุณครูบาอาจารย์.... ซึ่งวันนี้เราจะพาไปทำความรู้จักกับการไหว้ครูแบบดั้งเดิมในสมัยโบราณ ... ส่วนจะมีความแตกต่างจากปัจจุบันหรือไม่ อย่างไรนั้นลองไปอ่านดูกันเลย… แต่ก่อนอื่นกระปุกดอทคอมจะพาไปทำความรู้จักถึงความหมายของ <b>วันไหว้ครู</b> รวมทั้งที่ไปที่มาของคำว่า <b>"ครู" </b>กันก่อนค่ะ <br /><br /><span style="color: maroon; font-weight: bold;"><img border="0" src="http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/ann81_1.gif" />ความหมายของครู</span> <br style="color: maroon;" /><br /><span style="color: blue;"> <strong> </strong></span><strong>ครู </strong>หมายถึง <span style="font-weight: bold;">ผู้สั่งสอนศิษย์ หรือ ผู้ถ่ายทอดความรู้ให้แก่ศิษย์</span> ซึ่งมีผู้กล่าวว่ามาจากคำว่า ครุ (คะ-รุ) ที่แปลว่า <b>"หนัก" </b>อันหมายถึง ความรับผิดชอบในการอบรมสั่งสอนของครูนั้น นับเป็นภาระหน้าที่ที่หนักหนาสาหัสไม่น้อย กว่าคน ๆ หนึ่งจะเติบโตเป็นผู้มีวิชาความรู้ และเป็นคนดีของสังคม ผู้เป็น "<b>ครู" </b>จะต้องทุ่มเทแรงกายและแรงใจไม่น้อยไปกว่าพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดเลย ซึ่งในชีวิตของคน ๆ หนึ่ง นอกเหนือไปจากพ่อแม่ซึ่งเปรียบเสมือน <b>"ครูคนแรก"</b> ของเราแล้ว การที่เด็ก ๆ จะดำรงชีพต่อไปได้ในสังคม จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมี <b>"ครู" </b>ที่จะประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้ เพื่อปูพื้นฐานไปสู่หนทางทำมาหากินในภายภาคหน้าด้วย ดังนั้น<b> "ครู" </b>จึงเป็นบุคคลสำคัญที่เราทุกคนควรจะได้แสดงความกตัญญูกตเวทิตาต่อท่าน <br /><br /> <span style="color: navy;"> </span><span style="color: blue;"> <strong>ด้วยเหตุนี้เอง "การบูชาครู" หรือ "การไหว้ครู" จึงเป็นประเพณีสำคัญที่มีมาแต่โบราณ และมีอยู่ในแทบทุกสาขาอาชีพของคนไทย</strong> ถือเป็นพิธีกรรมที่แสดงความเคารพ และระลึกถึงพระคุณของบูรพาจารย์ ครูอาจารย์ผู้ประสิทธิ์วิชาความรู้ให้ ทำให้เราสามารถนำไปประกอบวิชาชีพ สร้างความเจริญรุ่งเรืองให้แก่ตนเองและครอบครัวได้ในอนาคต </span><br />
<div style="text-align: left;">
<br /></div>
<div style="text-align: left;">
ในความหมายของ <b>"การไหว้ครู" </b>ก็คือ การที่ศิษย์แสดงความเคารพ ยอมรับนับถือครูบาอาจารย์อย่างจริงใจ ว่าท่านเป็นผู้เพียบพร้อมด้วยคุณธรรมความรู้ ศิษย์ในฐานะผู้สืบทอดมรดกทางวิชาการ จึงพร้อมใจกันปวารณาตัวรับการถ่ายทอดวิชาความรู้ด้วยความวิริยะอุตสาหะ เพื่อให้บรรลุปลายทางแห่งการศึกษาตามที่ตั้งใจเอาไว้ ซึ่งการไหว้ครูนี้ นอกจากจะเป็นธรรมเนียมอันดีงามที่มีส่วนโน้มน้าวจิตใจคนให้รักษาคุณความดี และช่วยธำรงรักษาวิทยาการให้สืบเนื่องต่อไปแล้ว การที่ศิษย์แสดงความเคารพยอมรับนับถือครูตั้งแต่เบื้องต้น ก็มีส่วนทำให้ครูเกิดความรัก ความเมตตาต่อศิษย์ อยากมอบวิชาความรู้ให้อย่างเต็มที่ และศิษย์เองก็จะมีความรู้สึกผูกพันใกล้ชิด เกิดมั่นใจว่า ตนจะมีผู้คุ้มครองดูแล สั่งสอนให้ไปสู่หนทางแห่งความดีงาม และความเจริญก้าวหน้าแน่นอน <br /><br /> <strong>พิธีไหว้ครู หรือ การไหว้ครู นี้มีหลายอย่าง เช่น การไหว้ครูนาฏศิลป์ ไหว้ครูดนตรี ไหว้ครูโหราศาสตร์ ไหว้ครูแพทย์แผนไทย เป็นต้น ซึ่งแต่ละอย่างก็จะมีรายละเอียดแตกต่างกันออกไป แต่โดยทั่วไป เมื่อเอ่ยถึง พิธีไหว้ครู เรามักจะหมายถึง การไหว้ครูในสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะทำในช่วงเปิดภาคการศึกษา</strong> </div>
<div style="text-align: left;">
<br /><br /><span style="color: maroon; font-weight: bold;"><img border="0" src="http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/ann81_1.gif" /></span><span style="color: maroon; font-weight: bold;">ความสำคัญของครู </span><br style="color: maroon; font-weight: bold;" /><br /><span style="color: blue;"> </span>ในชีวิตของคนเราถือว่า บิดามารดา เป็นผู้มีพระคุณอันสูงสุด เพราะท่านเป็นผู้ให้ชีวิต ให้ความรัก ให้ความเมตตา มีความห่วงใย และเสียสละเพื่อลูก นอกจาก บิดามารดา แล้ว ก็มีครูเป็นผู้มีพระคุณคล้าย บิดามารดา คือ เป็นผู้อบรมสั่งสอนถ่ายทอดวิชาความรู้ให้ รวมทั้งให้ความรัก ความเมตตาต่อศิษย์ทุกคน นับได้ว่าครูเป็นผู้เสียสละที่ไม่แพ้บุพการี <br /><br /><span style="color: blue;"> </span>ครูจึงนับเป็นปูชนียบุคคลที่มีความสำคัญอย่างมาก ในการให้การศึกษาเรียนรู้ ทั้งในด้านวิชาการ และประสบการณ์ ตลอดเป็นผู้มีความเสียสละ ดูแลเอาใจใส่ สั่งสอนอบรมให้เด็กได้พบกับแสงสว่างแห่งปัญญา อันเป็นหนทางแห่งการประกอบอาชีพเลี้ยงดูตนเอง รวมทั้งนำพาสังคมประเทศชาติ ก้าวไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง ฉะนั้นวันที่ 6 ตุลาคม จึงได้เป็นวันครูสากล เพื่อคนที่เป็นครูทั่วโลกที่เสียสละนำพาเราทุก ๆคน ไปถึงฝั่งฝันนั่นเอง <br /><br /><br /><div style="text-align: center;">
<img alt="วันครู" border="0" class="img-mobile" height="375" src="http://hilight.kapook.com/img_cms2/news_6/learning.jpg" style="height: 375px; width: 500px;" width="500" /></div>
<br /><span style="color: maroon; font-weight: bold;"><img border="0" src="http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/fashion/ann81_1.gif" /></span><span style="color: maroon; font-weight: bold;">ประวัติความเป็นมา</span> <br /><br /><span style="color: blue;"> </span><strong>วันครู</strong> ได้จัดให้มีขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ.2500 สืบเนื่องมาจากการประกาศพระราชบัญญัติครูในราชกิจจานุเบกษาเมื่อปี พ.ศ.2488 ซึ่งระบุให้มีสภาในกระทรวงศึกษาธิการเรียกว่า คุรุสภา เป็นนิติบุคคลให้ครูทุกคนเป็นสมาชิกคุรุสภา โดยมีหน้าที่ในเรื่องของสถาบันวิชาชีพครูในขณะเดียวกัน ก็ทำหน้าที่ให้ความเห็นเรื่องนโยบายการศึกษา และวิชาการศึกษาทั่วไปแก่กระทรวงศึกษาธิการ ควบคุมจรรยาและวินัยของครู รักษาผลประโยชน์ ส่งเสริมฐานะของครู จัดสวัสดิการให้ครู และครอบครัวได้รับความช่วยเหลือตามสมควร ส่งเสริมความรู้ และความสามัคคีของครู <br /><br /><span style="color: blue;"> </span>ทุกปีคุรุสภาจะจัดให้มีการประชุมสามัญคุรุสภาประจำปี เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้แทนครูทั่วประเทศแถลงผลงานในรอบปีที่ผ่านมา และซักถามปัญหาข้อข้องใจต่างๆ เกี่ยวกับการดำเนินงานของคุรุสภาโดยมีคณะกรรมการอำนวยการคุรุสภา เป็นผู้ตอบข้อสงสัย สถานที่ในการประชุมสมัยนั้นใช้หอประชุมสามัคคยาจารย์ หอประชุมของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และในระยะหลังใช้หอประชุมคุรุสภา <br /><br /><span style="color: blue;"> </span>พ.ศ.2499 ในที่ประชุมสามัญคุรุสภาประจำปี จอมพล ป.พิบูล สงคราม นายกรัฐมนตรี และประธานกรรมการอำนวยการคุรุสภากิตติศักดิ์ ได้กล่าวคำปราศรัยต่อที่ประชุมครูทั่วประเทศว่า <br /><br /><span style="color: blue;"> <span style="color: purple;"> </span></span><span style="color: purple;">"ที่อยากเสนอในตอนนี้ก็คือว่า เนื่องจากผู้เป็นครูมีบุญคุณเป็นผู้ให้แสงสว่างในชีวิตของเราทั้งหลาย ข้าพเจ้าคิดว่า <b>วันครู </b>ควรมีสักวันหนนึ่งสำหรับให้บรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายได้แสดงความเคารพสักการะต่อวันสงกรานต์ เราก็นำเอาอัฐิของผู้มีพระคุณบังเกิดเกล้ามาทำบุญ ทำทาน คนที่สองรองลงไปก็คือครูผู้เสียสละทั้งหลาย ข้าพเจ้าคิดว่าในโอกาสนี้จะขอฝากที่ประชุมไว้ด้วย ลองปรึกษาหารือกันในหลักการ ทุกคนคงจะไม่ขัดข้อง" </span><br /><br /><span style="color: blue;"> </span>จากแนวความคิดนี้ กอปรกับความเห็นของครูที่แสดงออกทางสื่อมวลชนและอื่นๆ ที่ล้วนเรียกร้องให้มีวันครูเพื่อให้เป็นวันแห่งการรำลึกถึงความสำคัญของครูในฐานะที่เป็นผู้เสียสละ ประกอบคุณงามความดีเพื่อประโยชน์ของชาติและประชาชนเป็นอันมาก ในปีเดียวกันที่ให้มีวันครูเพี่อเสนอคณะกรรมการอำนวยการต่อไป โดยได้เสนอหลักการว่า เพื่อจะได้ประกอบพิธีระลึกถึงคุณบูรพจารย์ ส่งเสริมความสามัคคีธรรมระหว่างครูและพื่อส่งเสริมความเข้าใจอันดีระหว่างครูกับประชาชน <br /><br /><span style="color: blue;"> </span>คณะมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2499 ให้วันที่ 16 มกราคมของทุกปีเป็น <span style="font-weight: bold;">วันครู </span>โดยถือเอาวันที่ประกาศพระราชบัญญัติครูในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ.2488 เป็น <b>วันครู</b> และให้กระทรวงศึกษาธิการสั่งการให้นักเรียนและครูหยุดในวันดังกล่าว <br /><br /><span style="color: blue;"> งานวันครูได้จัดเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ.2500 ในส่วนกลางใช้สถานที่ของกรีฑาสถานแห่งชาติเป็นที่จัดงาน ได้กำหนดเป็นหลักการให้มีอนุสรณ์งานวันครูไว้แก่อนุชนรุ่นหลังทุกปี อนุสรณ์ที่สำคัญ คือ หนังประวัติครู หนังสือที่ระลึกวันครู และสิ่งก่อสร้างที่เป็นถาวรวัตถุ </span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: blue;"><br /></span></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="color: blue;"><br /></span></div>
joebon007http://www.blogger.com/profile/13420953985502302487noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5411958568064325121.post-31503064383876179502013-01-04T02:02:00.005-08:002013-01-04T02:04:09.052-08:00วันเด็ก<span style="font-size: 14px;"></span><br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://www.enn.co.th/uploads/contents/20120109133109.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img alt="" border="0" src="http://www.enn.co.th/uploads/contents/20120109133109.jpg" /></a></div>
<span style="font-size: 14px;"></span><br />
<span style="font-size: 14px;"></span><br />
<span style="font-size: 14px;"></span><br />
<span style="font-size: 14px;">จากข้อมูลของกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรมระบุว่า มีต้นกำเนิดมาจากการที่สหประชาชาติทั่วโลกเกิดความตื่นตัว และเห็นพ้องต้องกันว่าควรจะให้ความสำคัญแก่เด็กๆ ปี พ.ศ.2498 <strong>นายวี เอ็ม กุล ผู้แทนองค์การสหพันธ์เพื่อสวัสดิการเด็กระหว่างประเทศ </strong>เสนอต่อกรมประชาสงเคราะห์ให้จัดงานวันเด็กแห่งชาติขึ้นเพื่อส่งเสริมให้ประชาชนได้เห็นความสำคัญและความต้องการของเด็ก<br /><br /> ในปีเดียวกันทั่วโลกไม่น้อยกว่า 40 ประเทศจัดงานฉลองวันเด็กแห่งชาติของตนขึ้น โดยได้มีการกำหนดว่าจะถือเอาวันจันทร์แรกของเดือนตุลาคมของทุกปี เป็นวันเด็กแห่งชาติ<br /><br /> สำหรับประเทศไทย กรมประชาสงเคราะห์กระทรวงมหาดไทย เห็นควรจัดงานเฉลิมฉลองวันเด็กแห่งชาติ รัฐบาลจึงได้จัดให้มีคณะกรรมการจัดงานวันเด็กแห่งชาติขึ้นมาคณะหนึ่ง ทำหน้าที่ประสานงานกับหน่วยงานต่างๆทั้งภาครัฐบาล รัฐวิสาหกิจ และเอกชนกำหนดให้มีการฉลองวันเด็กแห่งชาติทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค<br /> <span style="color: violet;"><strong>งานวันเด็กแห่งชาติครั้งแรกของประเทศไทย จัดขึ้นเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ.2498</strong></span>จากนั้นเป็นต้นมา ราชการได้กำหนดให้วันจันทร์แรกของเดือนตุลาคมของทุกปีเป็นวันเด็กแห่งชาติ โดยจัดต่อเนื่องกันมาจนถึงปี 2506 ที่ประชุมคณะกรรมการจัดงานวันเด็กแห่งชาติในปีนั้น ได้มีความเห็นตรงกันว่า สมควรเสนอเปลี่ยนวันจัดงานวันเด็กแห่งชาติใหม่ ด้วยเหตุผลว่า เดือนตุลาคมสำหรับประเทศไทยเป็นเดือนที่ยังอยู่ในฤดูฝน มีฝนตกมาก เด็กๆไม่สะดวกในการเดินทางมาร่วมงาน นอกจากนี้วันจันทร์เป็นวันปฏิบัติงานของผู้ปกครอง จึงไม่สามารถพาเด็กของตนไปร่วมงานได้<br /> ด้วยเหตุนี้ คณะรัฐมนตรีจึงมีมติเห็นชอบในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2507 เปลี่ยนเป็นวันเสาร์ที่สองของเดือนมกราคม ที่มีความเหมาะสมและสะดวกมากกว่า ส่งผลให้ในปี 2507ไม่มีงานวันเด็กแห่งชาติด้วยการประกาศเปลี่ยนได้เลยวันมาแล้ว งานวันเด็กแห่งชาติจึงเริ่มจัดขึ้นใหม่อีกครั้งในปี 2508 เรื่อยมาถึงปัจจุบัน<br /> ส่วนเรื่องคำขวัญในวันเด็กแห่งชาตินั้นเป็นคำขวัญที่นายกรัฐมนตรีมอบให้เด็กไทยเนื่องในโอกาสวันเด็กแห่งชาติของทุกปี <span style="color: purple;">โดยคำขวัญวันเด็กมีขึ้นครั้งแรก เมื่อ พ.ศ.2499 ในสมัยที่<strong>จอมพล ป. พิบูลสงคราม </strong>ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และตั้งแต่ พ.ศ.2502 <strong>จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ </strong>ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ให้คุณค่าความสำคัญของเด็ก จึงมอบคำขวัญให้เป็นข้อคติเตือนใจสำหรับเด็กปีละ 1คำขวัญ (ก่อนถึงวันเด็กแห่งชาติ) นายกรัฐมนตรีสมัยต่อมาจึงได้ถือเป็นธรรมเนียมสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบันเป็นปีที่ 56 แล้ว</span></span><br />
<span style="color: purple;"></span><br />
<span style="color: purple;"></span><br />
<span style="color: purple;"> </span><span style="color: black;">คำขวัญวันเด็ก</span><br />
รักษาวินัย ใฝ่เรียนรู้ เพิ่มพูนปัญญา นำพาไทยสู่อาเซียน<br /><br />joebon007http://www.blogger.com/profile/13420953985502302487noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5411958568064325121.post-22332732876116049442013-01-02T18:48:00.002-08:002013-01-02T18:48:25.170-08:00ตู้ปลา<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj-5vXEaWqcBXlcNIBn0He-WDzoDWkkL9HRiiJoMeh2MDeD4rsMQFmaftEV6Ct4D28jGYw_Xz5kHtLgziHtLeL_Z3fYmWFje-6m6BhotvwgMivmd3fladv2hLyd5GceZcBl_fhyphenhyphenhPLQVuA/s1600/333.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="478" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj-5vXEaWqcBXlcNIBn0He-WDzoDWkkL9HRiiJoMeh2MDeD4rsMQFmaftEV6Ct4D28jGYw_Xz5kHtLgziHtLeL_Z3fYmWFje-6m6BhotvwgMivmd3fladv2hLyd5GceZcBl_fhyphenhyphenhPLQVuA/s640/333.jpg" width="640" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<br />joebon007http://www.blogger.com/profile/13420953985502302487noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5411958568064325121.post-80747921061321196632013-01-02T03:33:00.002-08:002013-01-02T03:33:53.657-08:00การ์ดปีใหม่<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgBjr3eego2BdWwcfSudLrHu5XPpwweOuTr360Vjug1oH3XSlflzqvW6qSy1EgKbnT5yND_gwbrqR-fFoPoiHhf2z8nk1FJZyxGmRz4Ecg4uGjfwCBBYwBn72-yCSKsDJl0_bXNuihzQVI/s1600/555555555555555555555555555555555555555555555.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="266" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgBjr3eego2BdWwcfSudLrHu5XPpwweOuTr360Vjug1oH3XSlflzqvW6qSy1EgKbnT5yND_gwbrqR-fFoPoiHhf2z8nk1FJZyxGmRz4Ecg4uGjfwCBBYwBn72-yCSKsDJl0_bXNuihzQVI/s400/555555555555555555555555555555555555555555555.jpg" width="400" /></a></div>
<br />joebon007http://www.blogger.com/profile/13420953985502302487noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5411958568064325121.post-57047781649054792052012-12-19T19:01:00.004-08:002012-12-19T19:01:29.390-08:00งาน<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgs1u2clBsG37CgKcenXpo6LdBqg9Ixqvj_YAAQkUWjgae621T5JC6cm4ajjdp9IQkh5J3tNmQ-tIbon0ScMDpiyXDDVTBFUKrY9uYgoOrmzCsD9mW2HbQHgg9yA-PTUXNs-6qL_hS93UY/s1600/55555555.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="320" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgs1u2clBsG37CgKcenXpo6LdBqg9Ixqvj_YAAQkUWjgae621T5JC6cm4ajjdp9IQkh5J3tNmQ-tIbon0ScMDpiyXDDVTBFUKrY9uYgoOrmzCsD9mW2HbQHgg9yA-PTUXNs-6qL_hS93UY/s320/55555555.jpg" width="298" /></a></div>
<br />joebon007http://www.blogger.com/profile/13420953985502302487noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5411958568064325121.post-64100116072094605582012-12-19T18:59:00.002-08:002012-12-19T18:59:29.467-08:00<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEju50P3PXwVQfSpKElunz2f0VC9Z41e9wwByDLgAJvmcx7B7LJA3b57uKC8Zc7daaZrRGEQDCOCC8qW-RX1qipPPZogx2-b5YmEo7FRv7PAQFwd5erK-Uc0dt9culjVaMdv_NSTQJCXYjA/s1600/5555.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="320" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEju50P3PXwVQfSpKElunz2f0VC9Z41e9wwByDLgAJvmcx7B7LJA3b57uKC8Zc7daaZrRGEQDCOCC8qW-RX1qipPPZogx2-b5YmEo7FRv7PAQFwd5erK-Uc0dt9culjVaMdv_NSTQJCXYjA/s320/5555.jpg" width="298" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEju50P3PXwVQfSpKElunz2f0VC9Z41e9wwByDLgAJvmcx7B7LJA3b57uKC8Zc7daaZrRGEQDCOCC8qW-RX1qipPPZogx2-b5YmEo7FRv7PAQFwd5erK-Uc0dt9culjVaMdv_NSTQJCXYjA/s1600/5555.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEju50P3PXwVQfSpKElunz2f0VC9Z41e9wwByDLgAJvmcx7B7LJA3b57uKC8Zc7daaZrRGEQDCOCC8qW-RX1qipPPZogx2-b5YmEo7FRv7PAQFwd5erK-Uc0dt9culjVaMdv_NSTQJCXYjA/s1600/5555.jpg" /></a></div>
<br />joebon007http://www.blogger.com/profile/13420953985502302487noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5411958568064325121.post-26424582213358055232012-12-12T19:04:00.000-08:002012-12-12T19:04:11.785-08:00บ้าน<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhFVBHEauB15TfoFBJgLlbbX1WZfj7euQrCS1qzlnxmPu6V_rz07sG1EYW70saCxZbEM-NMP31t5wlJTHPFfoFb9mVpG2hdJR5bLAstfufkR_XGvsAvxT6f9TBRZ4p-bhA4McQHtrSC5JM/s1600/joe.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="293" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhFVBHEauB15TfoFBJgLlbbX1WZfj7euQrCS1qzlnxmPu6V_rz07sG1EYW70saCxZbEM-NMP31t5wlJTHPFfoFb9mVpG2hdJR5bLAstfufkR_XGvsAvxT6f9TBRZ4p-bhA4McQHtrSC5JM/s400/joe.jpg" width="400" /></a></div>
<br />joebon007http://www.blogger.com/profile/13420953985502302487noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5411958568064325121.post-87675780896507017262012-12-04T06:17:00.003-08:002012-12-04T06:19:34.699-08:00การ์ดวันคริสมาส<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhB6Toh6-azjdm2MCDsfiH_b-uuzl0bhlnzYUIjGKkuXNXPKOJHPtt1PDI167VH2mmDYDd513jxnEBugHAm6BWLunLsqJKSA4vM_9n63KukBpqDYZA3-JWRPhqlVDm6MqUpkBe96IFKf-4/s1600/999.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="266" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhB6Toh6-azjdm2MCDsfiH_b-uuzl0bhlnzYUIjGKkuXNXPKOJHPtt1PDI167VH2mmDYDd513jxnEBugHAm6BWLunLsqJKSA4vM_9n63KukBpqDYZA3-JWRPhqlVDm6MqUpkBe96IFKf-4/s400/999.jpg" width="400" /></a></div>
<br />joebon007http://www.blogger.com/profile/13420953985502302487noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5411958568064325121.post-17997538652508721792012-12-04T05:57:00.002-08:002012-12-04T06:19:50.137-08:00การ์ดวันพ่อ<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh974rxQnhZOI8Bmqv0n_sm3scuxUOoNgmyfHuCs5iN_M3sPKbjxCjtN5DkRSsxzLkUtY6oSUUznu_WGKo2E8S7wgZYnNmJ81IH4ihSxXMHdZ6LfpQaSm21Gn5LxW9JpQ_abhjBwUxZddA/s1600/5555555555555555555555555.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="266" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh974rxQnhZOI8Bmqv0n_sm3scuxUOoNgmyfHuCs5iN_M3sPKbjxCjtN5DkRSsxzLkUtY6oSUUznu_WGKo2E8S7wgZYnNmJ81IH4ihSxXMHdZ6LfpQaSm21Gn5LxW9JpQ_abhjBwUxZddA/s400/5555555555555555555555555.jpg" width="400" /></a></div>
<br />joebon007http://www.blogger.com/profile/13420953985502302487noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5411958568064325121.post-72556643391925792512012-11-29T04:24:00.003-08:002012-11-29T04:26:07.159-08:00วันคริสต์มาส<h2>
</h2>
<a href="http://campus.sanook.com/story_picture/b/01393_003.gif" imageanchor="1" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"><h2>
</h2>
<h2>
</h2>
</a><h2>
วันคริสต์มาส</h2>
<br />
<span style="color: black;"><strong>คริสต์มาส คืออะไร</strong> วันคริสต์มาส คือ การฉลองวันประสูติของพระเยซูผู้เป็นศาสดาสูงสุดของชาวคริสต์ทั่วโลก เป็นวันฉลองที่มีความสำคัญ และมีความหมายมากที่สุดวันหนึ่ง เพราะชาวคริสต์ถือว่า พระเยซูมิใช่เป็ แต่เพียงมนุษย์ธรรดาๆ ที่มาเกิดเหมือนเด็กทั่วไป แต่พระองค์เป็นบุตรของพระเจ้าผู้สูงสุด และมีพระธรรมชาติเป็น พระเจ้า และเป็นมนุษย์ในพระองค์เอง การบังเกิดของพระองค์ จึงเป็นเหตุการณ์ พิเศษ ที่ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือนด้วย <br /><br /><br /><strong>ประวัติการประสูติพระเยซูเจ้า</strong><br /> ในเวลานั้น จักรพรรดิออกัสตัส รับสั่งให้ราษฎรทุกคน ในอาณาจักรโรมัน ไปลงทะเบียนสำมะโน ประชากร โยเซฟและมารีย์ ซึ่งมีครรภ์แก่จึงต้องเดินทางไปยังเมืองเบธเลเฮม อันเป็นเมืองที่กษัตริย์ดาวิดประสูติ พอดีถึงกำหนดที่มารีย์จะคลอดบุตร เธอก็ได้คลอดบุตรชายหัวปี เธอเอาผ้าพันกายพระกุมารแล้ววางไว้ใน รางหญ้า เนื่องจากตามโรงแรมไม่มีที่พักเลย คืนนั้นทูตสวรรค์ของพระเจ้า ปรากฎแก่พวกเลี้ยงแกะ พวกเขาตกใจกลัวมาก แต่ทูตสวรรค์ปลอบพวกเขาว่า "อย่ากลัวไปเลย เพราะเรานำข่าวดีมาบอก คืนนี้เอง ในเมืองของกษัตริย์ ดาวิด มีพระผู้ช่วยให้รอดประสูติ พระองค์นั้นเป็นพระคริสต์พระเป็นเจ้า นี่จะเป็น หลักฐานให้พวกท่านแน่ใจคือ พวกท่านจะพบพระกุมารมีผ้าพันกาย นอนอยู่ในรางหญ้า"<br />ทันใดนั้น มีทูตสวรรค์อีกมากมาย ร้องเพลง สรรเสริญ พระเจ้าว่า " Gloria in Excelsis Deo ขอเทิด พระเกียรติพระเจ้าผู้สถิตย์ในสวรรค์ชั้นสูงสุด สันติสุขบนพิภพจงเป็นของผู้ที่พระองค์ทรงพอพระทัย <br /></span><br />
<span style="color: black;"><strong><img align="left" border="0" src="http://campus.sanook.com/story_picture/b/01393_002.gif" /></strong><strong>ทำไมจึงฉลองคริสต์มาสวันที่ 25 ธันวาคม</strong> <br /> ตามหลักฐานในพระคัมภีร์ (ลก.2:1-3) บันทึกไว้ว่าพระเยซูเจ้าบังเกิด ในสมัยที่จักรพรรดิซีซ่าร์ออกัสตัส ให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วเกิดของสุริยเทพตามประเพณีของ ชาวโรมัน จึงหันมาฉลองการบังเกิดของพระเยซูเจ้าแทน จนถึงวันที่ 25 ธันวาคม ค.ศ. 330 จึงเริ่มมีการฉลองคริสต์มาสอย่างเป็นทางการ และอย่างเปิดเผย เนื่องจากก่อนนั้น มีการเบียดเบียนศาสนาอย่างรุนแรง (ตั้งแต่ ปี ค.ศ. 64-313) ทำให้คริสตชนไม่มีโอกาสทั้งแผ่นดิน โดยมีคีรินิอัสเป็นเจ้าครองเมืองซีเรีย ซึ่งในพระคัมภีร์ไม่ได้บอกว่า เป็นวัน หรือเดือนอะไร แต่นักประวัติศาสตร์</span>ให้เหตุผลว่า <span style="color: black;">ทื่คริสตชน เลือกเอาวันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันฉลองคริสต์มาส ตั้งแต่ ศตวรรษที่ 4 เป็นต้นมา เนื่องจาก ในปี ค.ศ. 274 จักรพรรดิเอาเรเลียน ได้กำหนดให้วันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันฉลอง วันเกิดของสุริยเทพผู้ทรงพลัง ชาวโรมันฉลองวันนี้อย่างสง่า และถือเสมือนว่าเป็นวันฉลองของพระจักรพรรดิไปในตัวด้วย เพราะพระจักรพรรดิก็เปรียบเสมือน ดวงอาทิตย์ ที่ให้ความสว่างแก่ชีวิตมนุษย์<br /> คริสตชนที่อยู่ในจักรวรรดิ โรมันรู้สึกอึดอัดใจที่จะฉลอง วันฉลองอะไรอย่างเปิดเผย <br /><br /><br /><strong>ความสำคัญของวันคริสต์มาส</strong><img align="right" border="0" src="http://campus.sanook.com/story_picture/b/01393_004.gif" /></span><br />
คริสต์มาส เป็นวันที่มีความสำคัญอย่างยิ่งวันหนึ่งในศาสนาคริสต์ <span style="color: #cc0000;">มิใช่เป็น</span><span style="color: black;">วันสำคัญฝ่ายร่างกายจัดงาน รื่นเริงภายนอกเท่านั้น ซึ่งเป็นแต่เพียงเปลือกนอกของการฉลองคริสต์มาส แต่แก่นแท้อยู่ที่ความรัก ของพระเจ้าที่ มีต่อโลกมนุษย์ นั่นคือ พระเจ้าทรงรักมนุษย์ มากจน ถึงกับยอมส่งพระบุตรแต่องค์เดียว ของพระองค์ ให้มาเกิดเป็น มนุษย์ มีเนื้อหนังมังสา ชื่อว่า "เยซู" <br />การที่พระเจ้าได้ถ่อมองค์และเกียรติลงมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นจากการเป็นทาส ของความชั่ว และบาปต่างๆ นั่นเอง<br /> ดังนั้นความสำคัญของวันคริสต์มาสจึงอยู่ที่การฉลองความรักที่พระเจ้ามีต่อโลกมนุษย์ อย่างเป็นจริง เป็นจัง และเห็นตัวตนในพระเยซูคริสต์ที่มาเกิดเป็นมนุษย์ มากกว่าสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น <br /><br /><br /><strong>ประวัติวันคริสต์มาส </strong><br /> คริสต์มาส คือการฉลองการบังเกิดของพระเยซูเจ้า เรา เฉลิมฉลองกันในวันที่ 25 ธันวาคม คำว่า คริสต์มาส เป็นคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษ Christmas ซึ่งมาจากภาษาอังกฤษ โบราณว่า Christes Maesse ที่แปลว่า บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า เพราะการร่วมพิธีมิสซาเป็นประเพณีสำคัญที่สุดที่ชาวคริสต์ ถือปฎิบัติกันในวันคริสต์มาส <br /> คำว่า Christes Maesse พบครั้งแรก ในเอกสารโบราณ เป็นภาษาอังกฤษ ในปี ค.ศ. 1038 และคำนี้ก็แปรเปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmas คำทักทายที่เราได้ฟังบ่อย ๆ ในเทศกาลนี้คือ Merry Christmas คำว่า Merry ในภาษาอังกฤษโบราณ แปลว่า สันติสุข และความสงบทางใจ <br /><br /> เพราะฉะนั้นคำนี้จึงเป็นคำที่ใช้อวยพรคนอื่น ขอให้เขาได้รับสันติสุขและความสงบ ทางใจ <br /> เนื่องใน โอกาสเทศกาลคริสต์มาส ส่วนภาษาไทยใช้อวยพรด้วยประโยคว่า "สุข</span>สันต์วันคริสต์มาส<br />
Merry Christmas " <br />
<br />
<br />
<span style="color: black;"><strong>การร้องเพลงคริสต์มาส</strong><br /> เพลงคริสต์มาสที่เรานิยมร้องมากที่สุดในปัจจุบันได้แต่งขึ้นในศตวรรษที่ 19 จากประเทศอังกฤษเป็นส่วนใหญ่ เพลงที่มีเสียงมากได้แก่ Silent Night, Holy Night เป็นภาษาไทยว่า "ราตรีสวัสดิ์ คืนอันศักดิสิทธ์ " <br /><br />ความเป็นมาของเพลงนี้คือ วันก่อนวัน คริสต์มาส ของปี ค.ศ. 1818 คุณพ่อ Joseph Mohr เจ้าอากาสวัดที่ Oberndorf ประเทศออสเตรเลีย ได้ข่าวว่าออร์แกนในวัดเสีย ทำให้วงขับไม่สามารถร้องเพลงตามที่ซ้อมไว้ได้ คุณพ่อเองตั้งใจจะแต่งเพลงคริสต์มาส หลังจากแต่งเสร็จก็เอาไปให้เพื่อนคนหนึ่งชื่อ Franz Gruber ที่อยู่หมู่บ้านใกล้เคียงใส่ทำนองในคืนวันที่ 24 นั้นเอง สัตบุรุษวัดใกล้ก็ได้ฟังเพลง Silent Night เป็นครั้งแรก โดยการเล่นกีตาร์ประกอบการขับร้อง ซึ่งกลายเป็นเพลงที่นิยมมากที่สุดทั่วโลก<br /><br /><br /><strong>เทียนและพวงมาลัย </strong><img align="right" border="0" src="http://campus.sanook.com/story_picture/b/01393_008.gif" /><br /> ในสมัยก่อนมีกลุ่มคริสตชนกลุ่มหนึ่งในเยอรมัน ได้เอากิ่งไม้มาประกอบเป็นวงกลมคล้ายพวงมาลัย แล้วเอาเทียน 4 เล่ม วางไว้บนพวงมาลัยนั้นในตอนกลางคืนของวันอาทิตย์แรกของเทศกาลเตรียมรับเสด็จ ทุกคนในครอบครัวจะมารวมกัน ดับไฟ แล้วจุดเทียนเล่มหนึ่ง สวด ภาวนาและร้องเพลงคริสต์มาสร่วมกัน เขาจะทำดังนี้ทุกอาทิตย์จนครบ 4 อาทิตย์ก่อนคริสต์มาส ประเพณีนี้เป็นที่นิยมและแพร่หลายในที่หลายแห่ง โดยเฉพาะที่สหรัฐอเมริกา<br /> ซึ่งต่อมามีการเพิ่ม โดยเอาพวงมาลัยพร้อมกับเทียนที่จุดไว้ตรงกลาง 1 เล่มไปแขวนไว้ที่หน้าต่างเพื่อช่วย ให้คนที่ผ่านไปมา ได้ระลึกถึงการเตรียมตัวรับวันคริสต์มาสที่ใกล้เข้ามา และพวงมาลัยนั้นยังเป็นสัญลักษณ์ที่คน สมัยโบราณใช้หมายถึงชัยชนะ แต่ในที่นี้หมายถึงการที่พระองค์มาบังเกิดในโลก และทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างครบ บริบูรณ์ตามแผนการณ์ของพระเป็นเจ้า<br /><br /><br /><strong>การทำมิสซาเที่ยงคืน </strong><br /> เมื่อพระสันตะปาปาจูลีอัสที่1 ได้ประกาศให้วันที่ 25 ธันวาคมเป็นฉลองพระคริสตสมภพ (วันคริสต์มาส) แล้วในปี นั้นเองพระองค์และสัตบุรุษได้พากันเดินสวดภาวนา และขับร้องไปยังตำบลเบธเลเฮม ยังถ้ำที่พระเยซูเจ้าประสูติ <br /> พอไปถึงก็เป็นเวลาเที่ยงคืน พระสัน ตะปาปาก็ทรงถวายบูชา ณ ที่นั้น เมื่อเสร็จแล้วก็กลับมาที่พัก เป็นเวลาเช้ามืดราวๆ ตี 3 พระองค์ก็ถวายมิสซาอีกครั้ง และสัตบุรุษเหล่านั้นก็พากันกลับ แต่ก็ยังมีสัตบุรุษหลายคนที่ไม่ได้ไป พระสันตะปาปาก็ทรงถวายบูชามิสซาอีกครั้งหนึ่งเป็นครั้งที่ 3 เพื่อ สัตบุรุษเหล่านั้น ด้วยเหตุนี้เองพระสันตะปาปาจึงทรงอนุญาตในพระสงฆ์ถวายบูชามิสซาได้ 3 ครั้ง ในวันคริสต์มาส เหมือนกับการปฏิบัติ ของพระองค์ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจึงมี ธรรมเนียมถวายมิสซาเที่ยงคืน ในวันคริสต์มาส และพระสงฆ์ก็สามารถถวายมิสซาได้ 3 มิสซา ใน โอกาสวันคริสต์มาสเช่นเดียวกัน<br /><img align="right" border="0" src="http://campus.sanook.com/story_picture/b/01393_006.jpg" /></span> <br />
<br />
<span style="color: black;"><strong>ซานตาครอส </strong><br />ตัวจริงของซานตาครอส คือ นักบุญนิโคลัสซึ่งเป็นบาทหลวงในตุรกี ช่วงคริสต์ศตวรรษที่สี่ ผู้ขึ้นชื่อในเรื่องความใจดี โดยเฉพาะกับเด็กๆ ต่อมาท่านเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางทั่วฮอลแลนด์ในชื่อ "ซินเตอร์คลาส" ราวค.ศ.1870 ชาวอเมริกันเรียกชื่อเพี้ยนไปเป็น"ซานตาคลอส" ตั้งแต่แรกจนถึงค.ศ. 1890 <br /><br />ภาพของซานตาคลอสเป็นชายร่างผอมสูงสวมชุดสีเขียว หรือน้ำตาลสลับแดง เจนนี ไนสตรอม ศิลปินชาวสวีเดน เป็นผู้คิดค้นรูปลักษณ์ของซานตาครอสอย่างที่เห็นกันในปัจจุบัน โดยวาดภาพลงในบัตรอวยพรคริสต์มาส ภาพเหล่านี้ได้รับความนิยมไปทั่วโลก เมื่อชาวสวีเดนอีกคนชื่อ แฮดดอน ซันด์บลอม นำภาพวาดของไนสตรอมสวมชุดขาว</span>joebon007http://www.blogger.com/profile/13420953985502302487noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5411958568064325121.post-45850007568516472082012-11-29T04:19:00.006-08:002012-11-29T04:19:52.056-08:00วันรัฐธรรมนูญ<h2 style="text-indent: 30px;">
<span style="font-size: 14px;">วันรัฐธรรมนูญ</span></h2>
<div style="text-indent: 30px;">
<span style="font-size: 14px;"></span> </div>
<div style="text-indent: 30px;">
<span style="font-size: 14px;">เวียนบรรจบครบอีกครั้ง กับวันสำคัญทางการเมืองของประเทศไทย วันที่ประชาชนชาวไทยมีความภาคภูมิใจ บนเอกราชและอนาธิปไตยของประเทศ วันที่สยามประเทศ มีกฎหมายที่เป็นหลักยึดในการปกครองบ้านเมือง อย่างเป็นทางการ เทียบเท่าอารยประเทศ วันที่ว่านั่นก็คือ <span style="color: blue;"><span style="font-size: 16px;"><span style="color: black;">วัน</span><span style="color: black;">รัฐธรรมนูญ ซึ่งปีนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ 10 ธันวาคม 2554</span></span></span><span style="color: black;"> และนับเป็นอีกหนึ่งวันหยุดยาวที่หลายๆคนตั้งตารอคอย และในปีนี้ยัง</span>มีวันหยุดชดเชยต่อเนื่องยาวถึง 3 วันกันเลยทีเดียว นอกจากจะได้หยุดเรียน หยุดงาน อยู่บ้าน หรือไปเที่ยวกันแล้ว ก็ต้องตระหนักถึงความสำคัญและที่มาของวันหยุดนี้กันด้วยนะคะ วันรัฐธรรมนูญมีประวัติความเป็นมาอย่างไร เราศึกษาไปพร้อมๆกันเลยค่ะ<br /> </span></div>
<div style="text-align: center;">
<span style="font-size: 14px;"> </span><img alt="UploadImage" src="http://www.enn.co.th/uploads/contents/20111208140817.jpg" /></div>
<br /><span style="font-size: 14px;"><span style="color: black;"><span style="color: black;"><span style="color: green;"><span style="font-size: 16px;"><strong>10 ธันวาคม ''วันรัฐธรรมนูญ''</strong></span></span><br /> วันรัฐธรรมนูญ ตรงกับวัน</span>ที่ 10 ธันวาคม ของทุกปี เป็น<span style="color: green;">วันที่ระลึกคล้ายวันที่ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทาน รัฐธรรมนูญราชอาณาจักรสยามฉบับถาวร </span>เพื่อเป็นหลักในการปกครองประเทศตามระบอบประชาธิปไตยให้แก่ประชาชนชาวไทย</span><strong> <br />ความเป็นมา</strong><br /> <br /> การเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 นับว่ามีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในประวัติศาสตร์การปกครองของชาติไทย เนื่องจากเป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบประชาธิปไตย โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ<br /> <br /><strong>สาเหตุที่เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง</strong><br /> <br /> 1. พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 แห่งราชวงศ์จักรีทรงมีพระราชประสงค์ที่จะพระราชทานรัฐธรรมนูญ เพื่อเป็นหลักในการปกครองของประเทศให้แก่ประชาชนชาวไทย<br /> 2. หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 เศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก ซึ่งได้ส่งผลกระทบมาถึงประเทศไทยด้วย พระองค์ได้แก้ไขภาวะเศรษฐกิจของประเทศ โดยการปลดข้าราชการออก ยังความไม่พอใจในหมู่ข้าราชการเป็นอย่างมาก<br /> 3. อิทธิพลจากตะวันตกเกี่ยวกับอุดมการณ์ทางการเมือง ทำให้กลุ่มคนหนุ่มต้องการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน<br /> 4. รัฐบาลได้ออกกฎหมายเก็บภาษี อาทิ ภาษีโรงเรือน ภาษีที่ดิน จากราษฎร<br /> <br /> จากสาเหตุดังกล่าว ทำให้เกิดความไม่พอใจในหมู่ข้าราชการทหาร และราษฎรทั่วไปจึงทำให้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยการปฏิวัติ มีคณะผู้รักษาการพระนครฝ่ายทหาร ซึ่งประกอบด้วยพันเอก พระยาพหลพยุหเสนา พันเอกพระยาทรงสุรเดช และพันเอกพระฤทธิอาคเนย์ เป็นผู้บริหารประเทศ<br /> <br /> <strong>วันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2475 </strong>ได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราวเรียกว่า<strong><span style="color: blue;"> <span style="color: black;">"พระราชบัญญัติธรรมนูญการ</span><span style="color: black;">ปกครองแผ่นดินสยามชั่ว</span><span style="color: black;">คราว</span>"</span></strong> สาระสำคัญของธรรมนูญการปกครองฉบับนี้ได้แก่ การที่กำหนดว่าอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศหรืออำนาจอธิปไตยเป็นของราษฎรทั้งหลาย การใช้อำนาจสูงสุดก็ให้มีบุคคลคณะบุคคลเป็นผู้ใช้อำนาจแทนราษฎรดังนี้ คือ<br /> 1. พระมหากษัตริย์<br /> 2. สภาผู้แทนราษฎร<br /> 3. คณะกรรมการราษฎร<br /> <span style="color: black;">4. ศาล<br /> <br /> ลักษณะการปกครองแม้จะเปลี่ยนระบอบการปกครองมาเป็นประชาธิปไตยแต่ก็ถือว่าพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของประเทศ เป็นสถาบันที่ถาวรและมีการสืบราชสมบัติต่อไปในพระราชวงศ์ การปฏิบัติราชการต่างๆ จะต้องมีกรรมการราษฎรผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ โดยได้รับความยินยอมจากคณะกรรมการราษฎรจึงจะใช้ได้ สถาบันที่เกิดใหม่คือ สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีอำนาจทางนิติบัญญัติออกกฎหมายต่างๆ ซึ่งเมื่อพระมหากษัตริย์ลงพระปรมาภิไธยประกาศใช้แล้วจึงมีผลบังคับได้ เหตุนี้ในระยะแรกของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง สภาผู้แทนจึงเป็นสถาบันที่มีอำนาจสูงสุดในทางการเมือง ส่วนการใช้อำนาจตุลาการยังคงให้ศาลยุติธรรมที่มีอยู่แล้วพิจารณาพิพากษาคดีให้เป็นไปตามกฎหมายได้ตามเดิม<br /> <br /> กระทั่งถึง <span style="color: black;"><span style="color: blue;"><strong><span style="color: black;">วันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานรัฐธรรมนูญราช</span><span style="color: black;">อาณาจักรสยาม ฉบับถาวร</span></strong></span> ซึ่งมีหลักการต่างกับฉบับแรกในวาระสำคัญหลายประการ อาทิ ได้เปลี่ยนระบอบการปกครองเป็นการปกครอง</span>แบบรัฐสภา ทั้งนี้เนื่องจากรัฐธรรมนูญ พ.ศ.๒๔๗๕ ได้บัญญัติให้พระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นประมุขไม่ต้องรับผิดชอบทางการเมืองเป็นผู้ใช้อำนาจทางคณะรัฐมนตรี ซึ่งพระมหากษัตริย์ ทรงแต่งตั้งให้บริหารราชการแผ่นดิน แต่คณะรัฐมนตรีจะต้องรับผิดชอบในการบริหารราชการแผ่นดินต่อสภาผู้แทน รัฐสภาซึ่งเป็นฝ่ายนิติบัญญัติมิได้ใช้แต่เพียงอำนาจนิติบัญญัติเท่านั้น แต่มีอำนาจที่จะควบคุมคณะรัฐมนตรีในการบริหารแผ่นดินด้วย แต่อย่างไรก็ตาม คณะรัฐมนตรีรวมทั้งพระมหากษัตริย์ซึ่งประกอบกันเป็นรัฐบาลก็มีอำนาจที่จะยุบสภาผู้แทนได้ หากเห็นว่าได้ดำเนินการไปในทางที่จะเป็นภัยหรือเสื่อมเสียผลประโยชน์สำคัญของรัฐที่มีผลเท่ากับถอดถอนสมาชิกสภาที่ได้รับเลือกตั้งมาเพื่อให้ราษฎรเลือกตั้งใหม่ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์นั้นได้บัญญัติว่าพระมหากษัตริย์ดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้<br /> <br /> <span style="color: blue;"> <span style="color: black;">รัฐ</span><span style="color: black;">ธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ เป็นเครื่องกำหนดระเบียบแบบแผนของสังคม เพื่อเป็นการระลึกถึงรัฐธรรมนูญฉบับแรก อันเป็นฉบับถาวร และพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานให้กับปวงชนชาวไทย ทางราชการจึงกำหนด วันที่ 10 ธันวาคมของทุกปี เป็นวันรัฐธรรมนูญ</span></span></span><span style="color: black;"> <br /> </span></span><br />
<div style="text-align: center;">
<span style="color: black;"><img alt="UploadImage" src="http://www.enn.co.th/uploads/contents/20111208142221.jpg" /></span></div>
<br /><span style="font-size: 14px;"><span style="color: black;"><strong>รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันทั้งหมด 18ฉบับ</strong><br /> <br /> รัฐธรรมนูญ ฉบับแรกของไทย มีชื่อว่า "พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475" จากนั้น ราชอาณาจักรไทย ก็ได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญมาตามลำดับ ดังนี้<br /> <br /> 1. พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475 (27 มิถุนายน - 10 ธันวาคม 2475)<br /> <br /> 2. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม (ไทย) พุทธศักราช 2475 (10 ธันวาคม 2475 - 9 พฤษภาคม 2489) ถูกยกเลิกเพราะล้าสมัย<br /> <br /> 3. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489 (9 พฤษภาคม 2489 - 8พฤศจิกายน 2490) ถูกยกเลิกโดยคณะรัฐประหาร<br /> <br /> 4. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490รัฐธรรมนูญตุ่มแดง หรือ รัฐธรรมนูญใต้ตุ่ม (9พฤศจิกายน 2490 - 23มีนาคม 2492)<br /> <br /> 5. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492 (23มีนาคม 2492 - 29พฤศจิกายน 2494) ถูกยกเลิกโดยคณะรัฐประหาร<br /> <br /> 6. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2475แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช 2495 (8มีนาคม 2495 - 20ตุลาคม 2501) ถูกยกเลิกโดยคณะปฏิวัติ<br /> <br /> 7. ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2502 (28มกราคม 2502 - 20มิถุนายน 2511)<br /> <br /> 8. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2511 (20มิถุนายน 2511 - 17พฤศจิกายน 2514) ถูกยกเลิกโดยคณะปฏิวัติ<br /> <br /> 9. ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2515 (25ธันวาคม 2515 - 7ตุลาคม 2517)<br /> <br /> 10. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2517 (7ตุลาคม 2517 - 6ตุลาคม 2519) ถูกยกเลิกโดยคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน<br /> <br /> 11. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2519 (22ตุลาคม 2519 - 20ตุลาคม 2520)<br /> <br /> 12. ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2520 (9พฤศจิกายน 2520 - 22ธันวาคม 2521)<br /> <br /> 13. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2521 (22ธันวาคม 2521 - 23กุมภาพันธ์ 2534) ถูกยกเลิกโดย คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ หรือ รสช.<br /> <br /> 14. ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2534 (1มีนาคม - 9ตุลาคม 2534)<br /> <br /> 15. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2534 (9ธันวาคม 2534 - 11ตุลาคม 2540) ถูกยกเลิกหลังตรารัฐธรรมนูญฉบับประชาชน<br /> <br /> 16. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540ฉบับประชาชน (11ตุลาคม 2540 - 19กันยายน 2549) ถูกยกเลิกโดยคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขคปค.<br /> <br /> 17. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2549 (1ตุลาคม 2549 - 24สิงหาคม 2550)<br /> <br /> 18. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 (24สิงหาคม 2550 - ปัจจุบัน)<br /> <br /> <br /> </span></span><br />
<div style="text-align: center;">
<span style="color: black;"><span style="font-size: 14px;"> </span><img alt="UploadImage" src="http://www.enn.co.th/uploads/contents/20111208140936.jpg" /></span></div>
<span style="font-size: 14px;"><span style="color: black;"> <br /> <strong>รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 (ฉบับปัจจุบัน)</strong><br /> <br /> รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550เป็นรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับที่ 18ซึ่งจัดร่างโดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ในปี 2549-2550 ภายหลังการรัฐประหารในประเทศ โดยคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) เมื่อวันที่ 19กันยายน พ.ศ. 2549ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อคณะเป็น "คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ" (คมช.) โดยร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงลงพระปรมาภิไธยเมื่อวันที่ 24สิงหาคม พ.ศ. 2550และมีการประกาศในราชกิจจานุเบกษา ฉบับกฤษฎีกา และมีผลใช้บังคับเป็นกฎหมายทันที แทนที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2549<br /> <br /> โดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับนี้ เป็นกฎหมายไทยฉบับแรกที่เมื่อร่างเสร็จและได้รับความเห็นชอบจากฝ่ายนิติบัญญัติแล้ว มีการเผยแพร่ให้ประชาชนได้ลงประชามติว่าจะยอมรับรัฐธรรมนูญฉบับนี้หรือไม่ ในวันที่ 19สิงหาคม พ.ศ. 2550ผลปรากฏว่าผู้มาลงประชามติร้อยละ 57.81เห็นชอบ และร้อยละ 42.19ไม่เห็นชอบ<br /> <br /> อย่างไรก็ตาม ในระหว่างการร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้เกิดความผันผวนทางการเมืองภายในประเทศ การร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้จึงเป็นการเผชิญหน้าทั้งจากฝ่ายที่สนับสนุนให้มีการเห็นชอบในร่างรัฐธรรมนูญ และฝ่ายที่ต่อต้าน รวมถึงการวิพากษ์วิจารณ์ในประเด็นขั้นตอนการร่าง เช่น ประชานไม่ได้มีส่วนร่วมในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ การที่ คมช. ผูกขาดการสรรหาสมาชิก สสร. และในเนื้อหาสาระของร่างก็มีประเด็น เช่น มีการกำหนดให้สมาชิกวุฒิสภาเกือบกึ่งหนึ่งของจำนวนมาจากการแต่งตั้ง รวมถึงการนิรโทษกรรม คมช. เองสำหรับการก่อรัฐประหาร เป็นต้น<br /> <br /> ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญฉบับนี้ถูกแก้ไขสองครั้งในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2554โดยมีประเด็นที่แก้ไขคือ ระบบการเลือกตั้ง (แก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ 1มาตรา 93-98) และข้อกำหนดในการทำสนธิสัญญาระหว่างประเทศ (แก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ 2มาตรา 190)<br /> <br /> รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550มีทั้งหมด 309หมวด โดยมีเนื้อหาสาระตามหมวดต่าง ๆ ดังต่อไปนี้<br /> <br /> คำปรารภ<br /> <br /> หมวด 1บททั่วไป (มาตรา 1-7)<br /> <br /> หมวด 2พระมหากษัตริย์ (มาตรา 8-25)<br /> <br /> หมวด 3สิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทย (มาตรา 26-69)<br /> <br /> หมวด 4หน้าที่ของชนชาวไทย (มาตรา 70-74)<br /> <br /> หมวด 5แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ (มาตรา 75-87)<br /> <br /> หมวด 6รัฐสภา (มาตรา 88-162)<br /> <br /> หมวด 7การมีส่วนร่วมทางการเมืองโดยตรงของประชาชน (มาตรา 163-165)<br /> <br /> หมวด 8การเงิน การคลัง และงบประมาณ (มาตรา 166-170)<br /> <br /> หมวด 9คณะรัฐมนตรี (มาตรา 171-196)<br /> <br /> หมวด 10ศาล (มาตรา 197-228)<br /> <br /> หมวด 11องค์กรตามรัฐธรรมนูญ (มาตรา 229-258)<br /> <br /> หมวด 12การตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ (มาตรา 259-278)<br /> <br /> หมวด 13จริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ (มาตรา 279-280)<br /> <br /> หมวด 14การปกครองส่วนท้องถิ่น (มาตรา 281-290)<br /> <br /> หมวด 15การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ (มาตรา 291)<br /> <br /> บทเฉพาะกาล (มาตรา 292-309)<br /> <br /> </span></span>joebon007http://www.blogger.com/profile/13420953985502302487noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5411958568064325121.post-1702162452483005882012-11-29T04:12:00.003-08:002012-11-29T04:28:35.573-08:00วันพ่อแห่งชาติ<h2 align="left">
วันพ่อแห่งชาติ </h2>
<div align="center">
<strong><span style="color: #333333; font-family: Arial; font-size: x-small;"> </span></strong></div>
<div align="left">
<div>
<span style="color: #333333; font-family: Arial; font-size: x-small;"> <span style="color: black; font-size: small;">พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน (ราชบัณฑิตยสถาน พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 หน้า 587) พ.ศ. 2525 ได้ให้ความหมายคำว่า “พ่อ” ไว้ดังนี้</span></span></div>
<div>
<span style="color: black; font-family: Arial;"> </span></div>
<div>
<span style="color: black; font-family: Arial;"> <strong>พ่อ</strong> หมายถึง ชายผู้ให้กำเนิดแก่ลูก, คำที่ลูกเรียกชายผู้ให้กำเนิดตน</span></div>
<div>
<span style="color: black; font-family: Arial;"> ในทางพุทธศาสนา ได้ให้ความหมายของคำว่า “พ่อ” หมายถึง ชายผู้ให้กำเนิดแก่ลูกมีใช้หลายคำ เช่น</span></div>
<div>
<span style="color: black; font-family: Arial;"> </span></div>
<div>
<span style="color: black; font-family: Arial;"> - บิดา (พ่อ)</span></div>
<div>
<span style="color: black; font-family: Arial;"> - ชนก (ผู้ให้กำเนิด)</span></div>
<div>
<span style="color: black; font-family: Arial;"> - สามี (ผัวของแม่) เป็นต้น</span></div>
<div>
<span style="color: black; font-family: Arial;"> </span></div>
<div align="justify">
<span style="font-family: Arial;"><span style="color: black;"> วันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทางราชการได้กำหนดให้เป็นวันหยุดราชการหนึ่งวัน เพื่อให้ประชาชนชาวไทย ได้ร่วมกันเฉลิมฉลองในวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและถือเป็น</span><a href="http://www.dmc.tv/pages/top_of_week/%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD2553.html" title="วันพ่อแห่งชาติ 2554"><span style="color: black;">วันพ่อแห่งชาติ</span></a><span style="color: black;"> อีกวันหนึ่งด้วย </span></span></div>
<div align="justify">
<span style="color: black; font-family: Arial;"> </span></div>
<div align="justify">
<span style="color: black; font-family: Arial;"> วันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหรือวันพ่อแห่งชาติ มีความเป็นมาของวันสำคัญ คือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระราชสมภพเมื่อ วันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2470 ณ โรงพยาบาล เมาท์ ออเบิร์น นครบอสตัน สหรัฐอเมริกา โดยนายแพทย์วิทท์มอร์เป็นผู้ถวายการประสูติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติเป็นรัชกาลที่ 9 แห่งบรมจักรีวงศ์ กรุงรัตนโกสินทร์ ทรงประกอบพระราชกรณียกิจและเจริญพระราชจริยาวัตรเป็นเอนกประการจำเนียรกาลผ่านมาถึงปัจจุบันที่สุดจะพรรณนาให้ครบถ้วนได้ท่ามกลางมหาสมาคมวันพระราชพิธีพระบรมราชาภิเษกทรงมีกระแสพระราชดำรัสที่ พสกนิกรทุกคนยังจดจำได้ <em>“เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม”</em> อันคำว่าโดย “ธรรม” นั้น ทรงหมายถึง ธรรมอันล้ำเลิศที่เรียกว่า “ทศพิธราชธรรม” หรือที่เรียกกันโดยสามัญว่า “ราชธรรม 10 ประการ” </span></div>
<div align="justify">
<span style="color: black; font-family: Arial;"> </span></div>
<div align="center">
<span style="color: black; font-family: Arial;"><img alt="วันพ่อแห่งชาติ 2554" height="368" src="http://www.dmc.tv/i.php/?no=109/%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4.jpg." style="cursor: move; margin: 0px;" title="วันพ่อแห่งชาติ 2554" unselectable="on" width="550" /> </span></div>
<div align="center">
<strong><span style="color: black; font-family: Arial;">พระที่นั่งอัมรินทรวินิจฉัย พระบรมมหาราชวัง</span></strong><span style="font-family: Arial;"><span style="color: black;"><strong> </strong></span></span></div>
<div>
<span style="color: black; font-family: Arial;"> </span></div>
<div align="justify">
<span style="color: black; font-family: Arial;"> ราชธรรม 10 ประการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงยึดมั่นทรงปฎิบัติโดยเคร่งครัด และส่งผลถึงพสกนิกรทั่วพระราชอาณาจักรนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณเหนือเกล้าฯ ห่วงใยตั้งแต่พระเยาว์จนถึงปัจจุบัน รวมทั้งพระเจ้าหลานเธอทุกพระองค์ต่างซาบซึ้งและปลาบปลื้มในพระมหากรุณาธิคุณอย่างมิรู้ลืม พระองค์ทรงเป็น “พ่อ” ตัวอย่างของปวงชนชาวไทยที่เปี่ยมล้นด้วยพระเมตตากรุณา ทรงห่วงใยอย่างหาที่เปรียบมิได้</span></div>
<div>
<span style="color: black; font-family: Arial;"> </span></div>
<div>
<div align="center">
<span style="color: black; font-family: Arial;"><em> “...บ้านเมืองของเราเป็นปึกแผ่นร่มเย็นปกติสุขมาช้านาน เพราะเรามีความยึดมั่นในชาติและต่างร่วมมือร่วมแรงร่วมใจกันทำหน้าที่โดยนึกถึงประโยชน์ส่วนรวมของชาติเป็นเป้าหมายสำคัญสูงสุด ท่านทั้งหลายในสมาคมนี้ ตลอดจนคนไทยทุกหมู่เหล่า จึงควรทำความเข้าใจในหน้าที่ของตนไว้ให้กระจ่างและนำไปปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด ด้วยความไม่ประมาท</em></span><span style="font-family: Arial;"><span style="color: black;"><em> และด้วยความมีสติ…”</em></span></span></div>
</div>
<div>
<span style="color: black; font-family: Arial;"> </span></div>
<div>
<span style="color: black; font-family: Arial;"> (พระราชดำรัส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ พระราชทานแก่คณะบุคคลต่างๆ ที่เข้าเฝ้าฯถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม ณ พระที่นั่งอัมรินทรวินิจฉัย พระบรมมหาราชวัง) </span></div>
<div>
<h3>
<span style="font-size: small;">
<span style="color: black;"><strong><span style="font-family: Arial;">กิจกรรมที่ควรปฎิบัติในวันพ่อแห่งชาตินี้</span></strong></span></span></h3>
</div>
<div>
<span style="color: black; font-family: Arial;"> 1. ในวันพ่อแห่งชาติเราควรประดับธงชาติไทยที่อาคารบ้านเรือน</span></div>
<div>
<span style="font-family: Arial;"><br /><span style="color: black;"> 2. จัดพิธีศาสนสงฆ์ ทำ</span><a href="http://www.dmc.tv/pages/%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1-%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1/%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%81%E0%B8%97%E0%B9%89.html" target="_blank" title="บุญ"><span style="color: black;">บุญ</span></a><span style="color: black;">ใส่บาตร อุทิศเป็นพระราชกุศล น้อมเกล้าฯ ถวายพระพรชัยมงคล</span></span></div>
<div>
<span style="font-family: Arial;"><br /><span style="color: black;"> 3. จัดกิจกรรมเกี่ยวกับการบำเพ็ญสาธารณประโยชน์เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล</span></span></div>
<div>
<span style="color: black; font-family: Arial;"> </span></div>
<div>
<h3>
<span style="font-size: small;">
<span style="font-family: Arial;"><strong><span style="color: black;">ความเป็นมาของวันพ่อแห่งชาติ </span></strong></span></span><span style="font-family: Arial;"><br /></span></h3>
</div>
<div align="justify">
<span style="font-family: Arial;"><span style="color: black;"> วันพ่อแห่งชาติ ได้จัดให้มีขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2523 โดยคุณหญิงเนื้อทิพย์ เสมรสุต นายกสมาคมผู้อาสาสมัครและช่วยการศึกษาเป็นผู้ริเริ่มหลักการและเหตุผลในการจัดตั้งวันพ่อแห่งชาติ พ่อเป็นผู้มีพระคุณที่มีบทบาทสำคัญต่อ</span><a href="http://www.dmc.tv/seach/ครอบครัว" target="_blank" title="ครอบครัว"><span style="color: black;">ครอบครัว</span></a><span style="color: black;">และสังคม สมควรที่ผู้เป็นลูกจะเคารพเทิดทูนตอบแทนพระคุณด้วยความ</span><a href="http://www.dmc.tv/search/กตัญญู" target="_blank" title="กตัญญู"><span style="color: black;">กตัญญู</span></a><span style="color: black;"> และสมควรที่สังคมจะยกย่องให้เกียรติรำลึกถึงผู้เป็นพ่อ จึงถือเอาวันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปีซึ่งเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาเป็น “วันพ่อแห่งชาติ” ด้วยพระมหากรุณาธิคุณ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยอย่างนานัปการ ทรงเป็นพระราชบิดาของพระราชโอรสและพระราชธิดา ทรงรักใคร่และให้ดอกพุทธรักษาเป็นสัญลักษณ์ </span><a href="http://www.dmc.tv/pages/top_of_week/%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD2553.html" title="วันพ่อแห่งชาติ 2554"><span style="color: black;">วันพ่อแห่งชาติ</span></a></span></div>
<div>
<span style="font-family: Arial;"><br /></span><br />
<div align="center">
<em><span style="color: black;"><span style="font-family: Arial;">ทุกบุปผา มาลัยคือใจราษฎร์ ภักดีบาทองค์บพิตรเป็นนิจสิน</span><br /><span style="font-family: Arial;">พระ คือ บิดาข้าแผ่นดิน ร่วมร้อยรินมาลัยถวายพระพร</span><br /><span style="font-family: Arial;">ลุ 5 ธันวามหาราช <strong>“วันพ่อแห่งชาติ”</strong> คือองค์อดิศร</span><br /><span style="font-family: Arial;">พระเปี่ยมล้นด้วยเมตตาเอื้ออาทร พสกนิกรเป็นสุขทุกคืนวัน </span></span></em></div>
</div>
</div>
<div>
</div>
<div>
<span style="color: black; font-family: Arial;"> </span></div>
<div>
</div>
<div align="justify">
<span style="font-family: Arial;"><span style="color: black;"> </span></span><br />
<span style="font-family: Arial;"><div>
<span style="color: black;">ด้วยพ่อเป็นบุคคลผู้มีพระคุณ มีบทบาทสำคัญต่อครอบครัวและสังคม สมควรที่ผู้เป็นลูกจะเคารพ เทิดทูน และตอบแทนพระคุณด้วยความกตัญญู และสังคมควรที่จะยกย่องให้เกียรติรำลึกถึงผู้เป็นพ่อนี่เป็นที่มาของการจัดให้มี <strong>วันพ่อแห่งชาติ</strong></span></div>
</span><br /></div>
<div align="justify">
<span style="font-family: Arial;"><span style="color: black;"> </span></span></div>
<div align="center">
<a href="http://www.dmc.tv/pages/top_of_week/%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD2553.html" title="วันพ่อแห่งชาติ 2554"><span style="font-family: Arial;"><span style="color: black;"><img alt="วันพ่อแห่งชาติตรงกับวันเฉลิมพระชนพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช" border="0" height="375" src="http://www.dmc.tv/images/OtherBB/Father2.jpg" style="margin: 0px;" title="วันพ่อแห่งชาติตรงกับวันเฉลิมพระชนพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช" width="500" /></span></span></a></div>
<div align="justify">
<span style="font-family: Arial;"><span style="color: black;"> </span></span></div>
<div align="center">
<span style="font-family: Arial;"><strong><span style="color: black;">วันพ่อแห่งชาติหรือ<span class="st">วันเฉลิมพระชนพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช</span></span></strong></span></div>
<div align="justify">
<span style="color: black; font-family: Arial;"> </span></div>
<div align="justify">
<h3 align="justify">
<span style="font-size: small;">
<span style="font-family: Arial;"><strong><span style="color: black;">5 ธันวาวันพ่อแห่งชาติ </span></strong></span></span><span style="font-family: Arial;"><br /></span></h3>
</div>
<div align="justify">
<span style="font-family: Arial;"><span style="color: black;"> 5 ธันวาคมของทุกปี ซึ่งเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชและยังเป็นวันพ่อแห่งชาติ เพื่อเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในฐานะพ่อแห่งชาติ อีกทั้งทรงเป็นพ่อตัวอย่างของปวงชนชาวไทย ที่เปี่ยมล้นด้วยพระเมตตากรุณา ทรงบำเพ็ญคุณานุประโยชน์แก่ประเทศชาติ และประชาชน ทรงพระมหากรุณาทะนุบำรุงขจัด</span><a href="http://www.dmc.tv/search/ทุกข์" target="_blank" title="ทุกข์"><span style="color: black;">ทุกข์</span></a><span style="color: black;">ผดุงสุขพสกนิกรถ้วนหน้า พระองค์ทรงเป็น พ่อแห่งชาติที่อาณาประชาราษฎร์เทิดทูนด้วยความจงรักภักดี สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ และยึดมั่นในการเจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาทในการทะนุบำรุงชาติบ้านเมืองให้ วัฒนาถาวรสืบไป ซึ่งมีวัตถุประสงค์ของวันพ่อแห่งชาติ 4 ประการ คือ </span></span></div>
<div>
<div>
<div>
<span style="color: black; font-family: Arial;"> </span></div>
<div>
<span style="font-family: Arial;"><span style="color: black;">1. เพื่อเทิดทูนพระเกียรติคุณของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว</span></span><br />
<div>
<span style="font-family: Arial;"><span style="color: black;">2. เพื่อเทิดทูนพระคุณของพ่อ และยกย่องบทบาทของพ่อที่มีต่อครอบครัวและสังคม</span></span></div>
<div>
<span style="color: black; font-family: Arial;">3. เพื่อให้ลูกได้แสดงความกตัญญูกตเวทีต่อพ่อ </span></div>
<div>
<div>
<span style="color: black;"><span style="font-family: Arial;">4. เพื่อให้ผู้เป็นพ่อ สำนึกในหน้าที่และความรับผิดชอบของตน </span></span></div>
<div align="center">
<a href="http://www.dmc.tv/pages/top_of_week/%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD2553.html" title="วันพ่อแห่งชาติ 2554"></a><span style="color: black;"> </span></div>
<div align="center">
<span style="color: black; font-family: Arial;"><strong>วันพ่อแห่งชาติ ในประเทศไทยตรงกับวันที่ 5 ธันวาคมของทุกปี</strong></span></div>
<div align="justify">
<span style="color: black; font-family: Arial;"> </span></div>
<div align="justify">
<div>
<span style="color: black; font-family: Arial;"><strong>ดอกไม้ประจำวันพ่อแห่งชาติ</strong></span></div>
<div>
<span style="color: black; font-family: Arial;"> </span></div>
<div>
<span style="color: black; font-family: Arial;"> วันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปีเป็นวันพ่อแห่งชาติ กำหนดขึ้นครั้งแรก ในปี 2523 และ กำหนดให้ ดอกพุทธรักษาสีเหลือง เป็นดอกไม้สัญลักษณ์ประจำวันพ่อแห่งชาติ</span></div>
<div>
<span style="color: black; font-family: Arial;"> </span></div>
<div align="center">
<a href="http://www.dmc.tv/pages/top_of_week/%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD2553.html" title="วันพ่อแห่งชาติ 2554"><span style="color: black;"><img alt="วันพ่อแห่งชาติมีดอกพุทธรักษาเป็นสัญลักษณ์ประจำ" border="0" height="369" src="http://www.dmc.tv/images/OtherBB/Father6.jpg" style="margin: 0px;" title="วันพ่อแห่งชาติมีดอกพุทธรักษาเป็นสัญลักษณ์ประจำ" width="500" /></span></a></div>
<div align="center">
<span style="color: black;"> </span></div>
<div align="center">
<span style="color: black; font-family: Arial;"><strong>ดอกพุทธรักษาสีเหลือง เป็นดอกไม้สัญลักษณ์ประจำวันพ่อแห่งชาติ</strong></span></div>
<div>
<span style="color: black;"> </span></div>
<div>
<span style="font-family: Arial;"><span style="color: black;"> <strong>“พุทธรักษา”</strong> ซึ่งหมายถึง </span><a href="http://www.dmc.tv/pages/buddha_biography/Lord-Buddha-History-00.html" target="_blank" title="พระพุทธเจ้า"><span style="color: black;">พระพุทธเจ้า</span></a><span style="color: black;">ทรงปกป้องคุ้มครอง ให้มีแต่ความสงบสุขร่มเย็น ซึ่งมีเรียกกันมากว่า 200 ปี และสีเหลืองอันเป็นสีประจำวัน พระราชสมภพขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ของปวงชนชาวไทย การมอบดอกพุทธรักษาให้กับพ่อ จึงเสมือนกับการบอกถึง ความรักและเคารพบูชาพ่อ ผู้สร้างความสงบสุขร่มเย็นให้แก่ครอบครัว</span></span></div>
<div>
<span style="color: black; font-family: Arial;"> </span></div>
<div>
<span style="color: black; font-family: Arial;"> คนไทยโบราณเชื่อว่า บ้านใดปลูกต้นพุทธรักษาไว้ประจำบ้านจะช่วยปกป้องคุ้มครอง ไม่ให้มีเหตุร้ายหรืออันตรายเกิดแก่บ้านและผู้อาศัย เ</span></div>
</div>
</div>
<div>
<div>
<div>
<span style="color: black; font-family: Arial;"> </span></div>
<div>
<span style="font-family: Arial;"><strong><span style="color: black;">บทบาทของพ่อ </span></strong></span></div>
<div>
<span style="color: black; font-family: Arial;"> </span></div>
<div>
<div>
<span style="font-family: Arial;"><span style="color: black;">พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสรุปบทบาทหน้าที่ของพ่อและแม่ไว้ 5 ข้อ</span></span><br />
<div>
<span style="font-family: Arial;"><span style="color: black;">1. กันลูกออกจากความชั่ว</span></span><br />
<span style="font-family: Arial;"><span style="color: black;"></span></span><span style="font-family: Arial;"><span style="color: black;">2. ปลูกฝังลูกไว้ในทางที่ดี</span></span></div>
<span style="font-family: Arial;"><span style="color: black;"></span></span><span style="font-family: Arial;"><span style="color: black;">3. ให้ลูกได้รับการศึกษาเล่าเรียน</span></span><br />
<div>
<span style="font-family: Arial;"><span style="color: black;">4. ให้ลูกได้แต่งงานกับคนดี</span></span><br />
<span style="font-family: Arial;"><span style="color: black;"></span></span><span style="font-family: Arial;"><span style="color: black;">5. มอบทรัพย์มรดกให้เมื่อถึงการณ์อันควร </span></span><br />
<div>
<span style="font-family: Arial;"><span style="color: black;"> </span></span></div>
<div align="center">
<a href="http://www.dmc.tv/pages/top_of_week/%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD2553.html" title="วันพ่อแห่งชาติ 2554"><span style="color: black;"><img alt="วันพ่อแห่งชาติของแต่ละประเทศจะแตกต่างกันออกไป" border="0" height="311" src="http://www.dmc.tv/images/OtherBB/Father4.jpg" style="margin: 0px;" title="วันพ่อแห่งชาติของแต่ละประเทศจะแตกต่างกันออกไป" width="500" /></span></a></div>
<div align="center">
<span style="font-family: Arial;"><span style="color: black;"></span></span><br />
<span style="font-family: Arial;"><span style="color: black;"><div>
</div>
</span></span><br /></div>
<div>
<span style="color: black;"> </span></div>
<div align="center">
<span class="st"><span style="font-family: Arial;"><span style="color: black;"><strong>วันพ่อแห่งชาตินั้นทั่วโลกจะมีการจัดแตกต่างกันไป โดยในประเทศไทยจัดตรงกับวันที่ 5 ธันวาคมของทุกปี</strong></span></span></span></div>
<div>
<span style="color: black;"> </span></div>
<div>
<div align="justify">
<span style="font-family: Arial;"><span style="color: black;"> ในส่วนของพ่อเองก็ต้องตั้งใจฝึกตนเองให้ดี ให้เป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูกให้ได้ หาเวลามาทำกิจกรรมร่วมกัน จะได้มีเวลาแนะนำอบรมสั่งสอนกันเพื่อครอบครัวจะได้ เป็น</span><a href="http://www.dmc.tv/pages/%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1-%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1/Karma-Retribution-%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%99.html" target="_blank" title="ครอบครัวอบอุ่น"><span style="color: black;">ครอบครัวอบอุ่น</span></a><span style="color: black;"> โดยในวันพ่อที่จะถึงนี้ ก็ขออวยพรให้คุณพ่อทุกท่านมีความสุข ดูแลลูกๆ และอยู่กับลูกๆ ไปตราบนานเท่านาน</span></span></div>
<div>
</div>
</div>
</div>
</div>
</div>
</div>
</div>
</div>
</div>
</div>
<img height="64" src="http://www.dmc.tv/i.php/?no=109/%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4.jpg." style="filter: alpha(opacity=30); left: 578px; opacity: 0.3; position: absolute; top: 840px;" width="96" />joebon007http://www.blogger.com/profile/13420953985502302487noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5411958568064325121.post-46829310520894809752012-11-23T06:02:00.004-08:002012-11-23T06:02:55.654-08:00วันลอยกระทง<h2>
วันลอยกระทง</h2>
ประวัติความเป็นมาของเทศกาลวันลอยกระทง
คติที่มาเกี่ยวกับวันลอยกระทงมีอยู่หลายตำนาน ดังนี้<br />1.
การลอยกระทง เพื่อขอขมาแก่พระแม่คงคา<br />2. การลอยกระทง
เพื่อบูชาพระผู้เป็นเจ้าตามคติพราหมณ์
คือบูชาพระนารายณ์ซึ่งบรรทมสินธุ์อยู่ในมหาสมุทร<br />3. การลอยกระทง
เพื่อต้อนรับพระพุทธเจ้า ในวันเสด็จกลับจากเทวโลก
เมื่อครั้งเสด็จไปจำพรรษาอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
เพื่อทรงเทศนาอภิธรรมโปรดพระพุทธมารดา<br />4. การลอยกระทง เพื่อบูชาพระพุทธบาท
ของพระพุทธเจ้า ที่หาดทรายริมแม่น้ำนัมมทานที
เมื่อคราวเสด็จไปแสดงธรรมโปรดในนาคพิภพ<br />5. การลอยกระทง
เพื่อบูชาพระจุฬามณีบนสวรรค์ ซึ่งเป็นที่บรรจุพระเกศาของพระพุทธเจ้า<br />6.
การลอยกระทง เพื่อบูชาท้าวพกาพรหม บนสวรรค์ชั้นพรหมโลก<br />7. การลอยกระทง
เพื่อบูชาพระอุปคุตตะเถระ
ซึ่งบำเพ็ญเพียรบริกรรมคาถาอยู่ในท้องทะเลลึกหรือสะดือทะเล <br />
<br />
<div align="center">
<img border="0" height="129" src="http://www.lib.ru.ac.th/journal/nov/images/nov_LKT_krathong1.gif" width="100" /> </div>
<br />
ประวัติการลอยกระทงในประเทศไทย <br />
<br />
การลอยกระทงในเมืองไทย มีมาตั้งแต่ครั้งสุโขทัย เรียกว่า
การลอยพระประทีป หรือ ลอยโคม เป็นงานนักขัตฤกษ์รื่นเริงของประชาชนทั่วไป
ต่อมานางนพมาศหรือท้าวศรีจุฬาลักษณ์สนมเอกของพระร่วง
ได้คิดประดิษฐ์ดัดแปลงเป็นรูปกระทงดอกบัวแทนการลอยโคม
การลอยกระทงหรือลอยโคมในสมัยนางนพมาศ
กระทำเพื่อเป็นการสักการะรอยพระพุทธบาทที่แม่น้ำนัมมทานที
ซึ่งเป็นแม่น้ำสายหนึ่งอยู่ในแค้วนทักขิณาบถของประเทศอินเดีย ปัจจุบันเรียกว่า
แม่น้ำเนรพุททา<br /> <br />
<br />
การลอยกระทงเพื่อบูชารอยพระพุทธบาท<br />
<br />
รอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้า ที่ไปปรากฏอยู่ริมฝั่งแม่น้ำนัมมทานที
มีความเป็นมาเกี่ยวข้องกับพุทธประวัติ คือ
ครั้งหนึ่งพญานาคทูลอาราธนาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้เสด็จไปแสดงธรรมโปรดในนาคพิภพ
เมื่อพระองค์จะเสด็จกลับ พญานาคทูลขออนุสาวรีย์ไว้กราบไหว้บูชา
พระพุทธองค์จึงทรงประดิษฐานรอยพระพุทธบาทไว้ที่หาดทราย ริมฝั่งแม่น้ำนัมมทานที
เพื่อให้บรรดานาคทั้งหลายได้สักการะ
บูชา<br />การลอยกระทงที่มีความเป็นมาเกี่ยวข้องกับพุทธประวัติ ยังมีอีก 2 เรื่อง
คือ<br /> 1. การลอยกระทงเพื่อบูชาพระจุฬามณีบนสวรรค์ และ<br /> 2.
การลอยกระทงเพื่อต้อนรับพระพุทธองค์ในวันที่เสด็จกลับจากเทวโลก<br /> <br />
<br />
ตำนานการลอยกระทงเพื่อบูชาพระจุฬามณี <br />
<br />
เมื่อครั้งที่เจ้าชายสิทธัตถะ
เสด็จออกจากพระนครกบิลพัสดุ์ในเวลากลางคืนด้วยม้ากัณฐกะ
พร้อมนายฉันทะมหาดเล็กผู้ตามเสด็จ ครั้นรุ่งอรุณก็ถึงฝั่งแม่น้ำอโนมานที
เจ้าชายทรงขับม้ากัณฐกะกระโจนข้ามแม่น้ำไปโดยสวัสดี<br />เมื่อทรงทราบว่าพ้นเขตกรุงกบิลพัสดุ์แล้ว
เจ้าชายสิทธัตถะจึงเสด็จลงประทับเหนือหาดทรายขาวสะอาด
ตรัสให้นายฉันทะนำเครื่องประดับและม้ากัณฐกะกลับพระนคร ทรงตั้งพระทัยปรารภจะบรรพชา
โดยเปล่งวาจา "สาธุ โข ปพฺพชฺชา" แล้ว จึงทรงจับพระเมาลีด้วยพระหัตถ์ซ้าย
พระหัตถ์ขวาทรงพระขรรค์ตัดพระเมาลี แล้วโยนขึ้นไปบนอากาศ
พระอินทร์ได้นำผอบทองมารองรับพระเมาลีไว้
และนำไปบรรจุยังพระจุฬามณีเจดียสถานในเทวโลก<br />พระจุฬามณีตามปกติมีเทวดาเหาะมาบูชาเป็นประจำแม้พระศรีอริยเมตไตรยเทวโพธิสัตว์ซึ่งในอนาคต
จะมาจุติบนโลกและตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งก็ยังเสด็จมาไหว้
การลอยกระทงเพื่อบูชาพระจุฬามณี จึงถือเป็นการไหว้บูชาพระศรีอริยไตรยด้วย<br /> <br />
<br />
ตำนานการลอยกระทงเพื่อต้อนรับพระพุทธเจ้าเสด็จกลับจากเทวโลก <br />
<br />
เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกบวชจนได้บรรลุธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว
หลังจากเผยพระธรรมคำสั่งสอนแก่สาธุชนโดยทั่วไปได้ระยะหนึ่ง
จึงเสด็จไปจำพรรษาอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อทรงเทศนาธรรมโปรดพระพุทธมารดา
ครั้งจำพรรษาจนครบ 3 เดือน พระองค์จึงเสด็จกลับลงสู่โลกมนุษย์
เมื่อท้าวสักกเทวราชทราบพุทธประสงค์ จึงเนรมิตบันไดทิพย์ขึ้น อันมี บันไดทอง
บันไดเงิน และบันไดแก้ว ทอดลงสู่ประตูเมืองสังกัสสนคร
บันไดแก้วนั้นเป็นที่ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จลง
บันไดทองเป็นที่สำหรับเทพยดาทั้งหลายตามส่งเสด็จ
บันไดเงินสำหรับพรหมทั้งหลายส่งเสด็จ<br />ในการเสด็จลงสู่โลกมนุษย์ครั้งนี้
เหล่าทวยเทพและประชาชนทั้งหลาย ได้พร้อมใจกันทำ การสักการบูชาด้วยทิพย์บุปผามาลัย
การลอยกระทงตามคตินี้ จึงเป็นการรับเสด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจากดาวดึงส์พิภพ
(เป็นตำนานเดียวกับประเพณีการตักบาตรเทโวรับเสด็จพระพุทธองค์ลงจากดาวดึงส์)<br />
<br />
การลอยกระทงเพื่อบูชาพระนารายณ์บรรทมสินธุ์ <br />
<br />
ยังมีพิธีการลอยกระทงตามคติพราหมณ์อีกเรื่องหนึ่ง
ซึ่งกระทำเพื่อบูชาพระผู้เป็นเจ้า คือ พระนารายณ์ที่บรรทมสินธุ์อยู่ในมหาสมุทร
นิยมทำกันในวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 11 หรือ วันขึ้น 15 ค่ำเดือน 12 เป็น 2 ระยะ
จะทำในกำหนดใดก็ได้<br /> <br />
<br />
<div align="center">
<img border="0" height="189" src="http://www.lib.ru.ac.th/journal/nov/images/nov_LKT_krathong2.jpg" width="160" /></div>
<br />
ตำนานการลอยกระทงเพื่อบูชาท้าวพกาพรหม <br />
<br />
นิทานต้นเหตุเกี่ยวกับอีกเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจ เป็นนิทานชาวบ้าน
กล่าวถึงเมื่อครั้งดึกดำบรรพ์
มีกาเผือกสองตัวผัวเมียทำรังอยู่บนต้นไม้ในป่าหิมพานต์ใกล้ฝั่งแม่น้ำ
วันหนึ่งกาตัวผู้ออกไปหากินแล้วหลงทางกลับรังไม่ได้
ปล่อยให้นางกาตัวเมียซึ่งกกไข่อยู่ 5 ฟองรอด้วยความกระวนกระวายใจ
จนมีพายุใหญ่พัดรังกระจัดกระจาย ฟองไข่ตกลงน้ำ
แม่กาถูกลมพัดไปทางหนึ่ง <br /> เมื่อแม่กาย้อนกลับมามีรังไม่พบฟองไข่
จึงร้องไห้จนขาดใจตาย ไปเกิดเป็นท้าวพกาพรหมอยู่ในพรหมโลก ฟองไข่ทั้ง 5
นั้นลอยน้ำไปในสถานที่ต่างๆ บรรดาแม่ไก่ แม่นาค แม่เต่า แม่โคและแม่ราชสีห์
มาพบเข้า จึงนำไปรักษาไว้ตัวละ 1 ฟอง
ครั้งถึงกำหนดฟักกลับกลายเป็นมนุษย์ทั้งหมดไม่มีฟองไหนเกิดมาเป็นลูกกาตามชาติกำเนิดเลย
กุมารทั้ง 5 ต่างเห็นโทษภัยในการเป็นฆราวาสและเห็นอานิสงส์ในการบรรพชา
จึงลามารดาเลี้ยงไปบวชเป็นฤาษีทั้ง 5
ได้มีโอกาสพบปะกันและถามถึงนามวงศ์และมารดาของกันและกัน จึงทราบว่าเป็นพี่น้องกัน
ฤาษีทั้ง 5 มีนามดังนี้<br /> คนแรก ชื่อ กกุสันโธ (วงศ์ไก่)<br />
คนที่สอง ชื่อ โกนาคมโน (วงศ์นาค)<br /> คนที่สาม ชื่อ กัสสโป
(วงศ์เต่า)<br /> คนที่สี่ ชื่อ โคตโม (วงศ์โค)<br /> คนที่ห้า ชื่อ
เมตเตยโย (วงศ์ราชสีห์)<br /> ต่างตั้งจิตอธิษฐาน
ว่าถ้าต่อไปจะได้ไปเกิดเป็นพระพุทธเจ้า ขอให้ร้อนไปถึงมารดา ด้วยแรงอธิษฐาน
ท้าวพกาพรหมจึงเสด็จมาจากเทวโลก จำแลงองค์เป็นกาเผือก
แล้วเล่าเรื่องราวแต่ทนหลังให้ฟัง พร้อมบอกว่าถ้าคิดถึงมารดา เมื่อถึงเพ็ญเดือน 11
เดือน 12 ให้เอาด้ายดิบผูกไม้ตีนกา ปักธูปเทียนบูชาลอยกระทงในแม่น้ำ
ทำอย่างนี้เรียกว่าคิดถึงมารดา แล้วท้าวพกาพรหมก็ลากลับไป<br />
ตั้งแต่นั้นมา จึงมีการลอยกระทงเพื่อบูชาท้าวพกาพรหม แล้วเพื่อบูชารอยพระบาท
ซึ่งประดิษฐานอยู่ริมฝั่งแม่น้ำนัมมทานที ส่วนฤาษีทั้ง 5
ต่อมาได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ดังนี้<br /> ฤาษีองค์แรก กกุสันโธ ได้แก่
พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระกกุสันโธ<br /> ฤาษีองค์ที่สอง โกนาคมโน ได้แก่
พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระโกนาคมน์<br /> ฤาษีองค์ที่สาม กัสสโป ได้แก่
พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระกัสสปะ<br /> ฤาษีองค์ที่สี่ โคตโม ได้แก่
พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระสมณโคดม<br /> ฤาษีองค์ที่ห้า เมตเตยโย ได้แก่
พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระศรีอาริยเมตไตรย<br />พระพุทธเจ้า 3 พระองค์แรก
ได้มาบังเกิดบนโลกแล้วในอดีตกาล พระพุทธเจ้าองค์ที่ 4 คือ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน พระพุทธเจ้าองค์ที่ 5 คือ
พระพุทธเจ้าที่จะมาบังเกิดบนโลกในอนาคต ได้แก่ พระศรีอาริยเมตไตรย<br /> <br />
<br />
ตำนานการลอยกระทงเพื่อบูชาพระอุปคุตต์ <br />
<br />
การลอยกระทงเพื่อบุชาพระอุปคุตต์นี้ เป็นประเพณีของชาวเหนือและชาวพม่า
พระอุปคุตต์เป็นพระอรหันต์เถระหลังสมัยพุทธกาล
โดยมีตำนานความเป็นมาดังนี้<br /> เมื่อพระเจ้าอโศกมหาราช
ทรงมีพระราชศรัทธาในพระพุทธศาสนา
ได้โปรดให้สร้างพระสถูปเจดีย์และพุทธวิหารขึ้นทั่วชมพูทวีป
มหาวิหารที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคือ "อโศการาม" ซึ่งตั้งอยู่ในเขตแคว้นมคธ
หลังจากที่สร้างพระสถูปเจดีย์ถึง 84,000 องค์สำเร็จแล้ว
พระเจ้าอโศกทรงมีพระราชประสงค์จะนำพระบรมสารีริกธาตุของสัมมาสัมพุทธเจ้า
ไปบรรจุในในพระสถูปต่างๆ
และบรรจุในพระมหาสถูปองค์ใหญ่ที่สร้างขึ้นใหม่มีความสูงประมาณครึ่งโยชน์
และประดับประดาด้วยแก้วต่างๆ ประดิษฐานอยู่ริมฝั่งแม่น้ำคงคาให้ปาฎลีบุตร
อีกทั้งต้องการให้มีการเฉลิมฉลองยิ่งใหญ่เป็นเวลา 7 ปี 7 เดือน 7
วัน<br />แต่ด้วยเกรงว่าพญามารจะมาทำลายพิธีฉลอง
มีเพียงพระอุปคุตต์ที่ไปจำศีลอยู่ในสะดือทะเลเพียงท่านเดียวเท่านั้น
ที่จะสามารถปราบพญามารได้
เมื่อพระอุปคุตต์ปราบพญามารจนสำนึกตัวหันมายึดเอาพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งแล้ว
พระอุปคุตต์จึงลงไปจำศีลอยู่ในสะดือทะเลตามเดิม<br />พระอุปคุตต์นี้ไทยเรียกว่า <span style="color: #d6368e;">พระบัวเข็ม</span>
ชาวไทยเหนือหรือชาวอีสานและชาวพม่านับถือพระอุปคุตต์มาก
ชาวพม่าไม่ว่าจะมีงานอะไรเป็นต้องนิมนต์มาเช้าพิธีด้วยเสมอ
ไทยเราใช้บูชาในพิธีขอฝนหรือพิธีมงคล ฯลฯ joebon007http://www.blogger.com/profile/13420953985502302487noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5411958568064325121.post-54162658248121271272012-11-22T05:16:00.001-08:002012-11-22T05:16:27.629-08:00วันออกพรรษา<h2>
ออกพรรษา</h2>
<strong>วันออกพรรษา 2555 ประวัติวันออกพรรษา วันออกพรรษามีความสำคัญอย่างไร</strong><br />
<div style="text-align: left;">
นิยาม ตามพจนานุกรมฉบับราชบัญฑิตยสถาน วันออกพรรษา คือ วันที่สิ้นการจำพรรษาแห่งพระสงฆ์ คือ วันขึ้น 15 ค่ำเดือน 11 ว่า วันออกพรรษา, วันปวารณา หรือ วันมหาปวารณา</div>
<div style="text-align: left;">
<strong>ประวัติความเป็นมาวันออกพรรษา</strong></div>
วันออกพรรษา เป็นวันสิ้นสุดการจำพรรษาของพระภิกษุสงฆ์ที่ร่วมกันในวัดหรือสถานที่ซึ่งอธิษฐานเข้าตลอดระยะเวลา 3 เดือน ในวันนี้พระสงฆ์จะประกอบพิธีทำสังฆกรรม ซึ่งเรียกว่า วันมหาปวารณา คือ วันที่พระภิกษุ์สงฆ์ทุกรูปจะอนุญาตให้ว่ากล่าวตักเตือนกันได้ ในเรื่องราวเกี่ยวกับความประพฤติต่างๆ นับตั้งแต่พระสังฆเถระ ได้แก่ พระภิกษุ์ผู้ที่มีอาวุโสสูงลงมา จะสามารถว่ากล่าวตักเตือนหรือเปิดโอกาสให้ซักถามข้อสงสัยซึ่งกันและกัน<br />
<div style="text-align: left;">
การกระทำมหาปวารณา เป็นการสังฆกรรมอย่างหนึ่งแทนการสวดพระปาฏิโมกข์ (พระวินัย) ที่ได้กระทำกันทุกๆ 15 วันในช่วงเข้าพรรษา</div>
<div style="text-align: left;">
วันออกพรรษา วันออกพรรษานี้ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า <strong>วันปวารณา </strong>(อ่านว่า ปะ-วา-ระ-นา) หรือ<strong>วันมหาปวารณา</strong> คือ วันที่เปิดโอกาสให้เพื่อนพระภิกษุ ว่ากล่าวตักเตือนกันได้ด้วยเมตตาจิต เมื่อได้เห็น ได้ฟัง หรือสงสัยในพฤติกรรมของกันและกัน ซึ่งความเป็นมาของการทำปวารณากรรม หรือให้พระภิกษุว่ากล่าวตักเตือนกันและกัน ในวันออกพรรษานี้ สืบเนื่องมาจากในสมัยพุทธกาล พุทธสาวกจะมีธรรมเนียมปฏิบัติอยู่อย่างหนึ่ง คือ เมื่อออกพรรษาหมดฤดูฝน แม้จะจำพรรษาอยู่ที่ใกล้ไกลแค่ไหน ก็จะพากันเดินทางมาเฝ้าพระพุทธเจ้า ครั้นได้เฝ้าแล้ว พระพุทธองค์จะทรงตรัสถาม ถึงสิ่งที่พระภิกษุได้ประพฤติปฏิบัติในระหว่างจำพรรษา ปรากฏว่ามีพระภิกษุกลุ่มหนึ่ง เกรงว่าในช่วงจำพรรษาด้วยกัน จะเกิดการขัดแย้งทะเลาะวิวาท จนอยู่ไม่สุขตลอดพรรษา จึงได้ตั้งกติกากันเองว่า จะไม่พูดจากัน เมื่อพระพุทธเจ้าทรงทราบเรื่องนี้ จึงทรงตำหนิว่าการประพฤติ มูควัตร (ทำตนเป็นใบ้เงียบไม่พูดจากัน) เป็นเรื่องเหลวไหลไร้ประโยชน์ที่พึงมีพึงได้ เพราะประพฤติเหมือนพฤติกรรมของสัตว์ เช่น แพะ แกะ ไก่ วัว ที่อยู่ด้วยกันก็ไม่ถามไถ่ทุกข์สุขของกันและกัน</div>
<div style="text-align: left;">
แล้วทรงสั่งสอนภิกษุทั้งหลายว่า ความประพฤติเช่นนั้นไม่สมควรแก่คนทั้งหลายหรือผู้ที่มีความเจริญแล้ว แล้วจึงทรงวางระเบียบวินัยให้เป็นหลักปฏิบัติสืบต่อมาว่าให้ภิกษุที่จำพรรษาครบสามเดือนแล้วทำปวารณาแทนอุโบสถสังฆกรรมในวันออกพรรษา การ ปวารณาหรือการว่ากล่าวตักเตือนในหมู่สงฆ์นี้ ผู้ว่ากล่าวตักเตือนจะต้องทำด้วยความเมตตา ปรารถนาดีต่อผู้ถูกตักเตือนทั้งกาย วาจา และใจ ส่วนผู้ถูกว่ากล่าวตักเตือนก็ต้องมีใจกว้าง มองเห็นความปรารถนาดีของผู้ตักเตือน ถ้าเป็นจริงตามคำกล่าวก็ปรับปรุงตัวใหม่ หากไม่จริง ก็สามารถชี้แจงแสดงเหตุผลให้กระจ่าง ทั้งสองฝ่ายต้องคิดว่าทักท้วงเพื่อก่อ ฟังเพื่อแก้ไข จึงจะได้ประโยชน์ และตรงกับความมุ่งหมายของการปวารณา ที่จะสร้างความสมัครสมานสามัคคี และดำรงความบริสุทธิ์หมดจดไว้ในสังคมพระสงฆ์</div>
สำหรับฆราวาสหรือพุทธศาสนิกชน ก็สามารถนำหลักการปวารณาในวันออกพรรษานี้ มาประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิตได้ทั้งในครอบครัว สถานศึกษาหรือในสถานที่ทำงาน โดยยึดความเมตตาต่อกันเป็นที่ตั้ง คือ ถ้าจะติก็ติด้วยความหวังดีมิใช่ทำลายอีกฝ่าย ส่วนผู้ถูกติก็ควรรับฟังด้วยดี และมองเห็นความหวังดีของผู้ว่ากล่าว หากจริงก็แก้ไข ไม่จริงก็ปรับความเข้าใจซึ่งกันและกัน เช่นนี้ย่อมทำให้สังคมเกิดความสงบสุข? สามารถแก้ไขปัญหาและพร้อมจะพัฒนาไปด้วยกันทุกฝ่าย สรุปได้ว่าความสำคัญของวันออกพรรษา เป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนาอีกวันหนึ่งด้วยเหตุผล คือ<br />
<ul>
<li><div style="text-align: left;">
พระสงฆ์ได้รับพระบรมพุทธานุญาต ให้จาริกไปค้างแรมที่อื่นได้</div>
</li>
<li><div style="text-align: left;">
เมื่อถึงวันออกพรรษา พระสงฆ์จะได้นำความรู้จากหลักธรรมและประสบการณ์ที่ได้รับระหว่างพรรษา ไปเผยแพร่แก่ประชาชน</div>
</li>
<li><div style="text-align: left;">
ในวันออกพรรษาพระ สงฆ์จะได้ทำปวารณา เปิดโอกาสให้เพื่อนภิกษุว่ากล่าวตักเตือน เรื่องความประพฤติของตนเพื่อให้เกิดความบริสุทธิ์ ความเคารพนับถือ และความสามัคคีกันระหว่างสมาชิกของสงฆ์</div>
</li>
<li><div style="text-align: left;">
พุทธศาสนิกชนได้นำแบบอย่างไปทำปวารณาเปิดโอกาสให้ ผู้อื่นว่ากล่าวตักเตือนตนเองเพื่อประโยชน์ต่อการพัฒนาตนและสร้างสรรค์สังคมต่อไป</div>
</li>
</ul>
<div style="text-align: left;">
สำหรับคำกล่าวที่พระพุทธเจ้า ทรงมีพระบรมพุทธานุญาต ให้พระภิกษุกระทำการปวารณาต่อกันว่า <strong>อนุชานามิ ภิกขะเว วัสสัง วุตถานัง ภิกขูนัง ตีหิ ฐาเนหิ ปะวาเรตุง ทิฏเฐนะ วา สุเตนะ วา ปะริสังกายะ วา…</strong> แปลว่า<strong> ภิกษุ ทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุทั้งหลายผู้จำพรรษาแล้ว ปวารณากันในสามลักษณะ คือ ด้วยการเห็นก็ดี ด้วยการได้ยินก็ดี ด้วยการสงสัยก็ดี</strong></div>
joebon007http://www.blogger.com/profile/13420953985502302487noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5411958568064325121.post-76592443920790068782012-11-22T05:12:00.000-08:002012-11-22T05:12:10.226-08:00ทอดกฐิน<h2>
ทอดกฐิน</h2>
<strong>ประเพณี การทอดกฐิน ในแต่ละปีกำหนดให้มีการจัดทอดกฐินขึ้นภายใน ๑ เดือน หลังประเพณีออกพรรษา โดยวัดที่จะสามารถรับกฐินได้ ต้องมีพระภิกษุจำพรรษาโดยไม่ขาดพรรษาเลย ไม่ต่ำกว่า ๕ รูป และแต่ละวัดสามารถรับกฐินได้ปีละ ๑ ครั้ง</strong>การทอดกฐินเป็นกาลทาน ตามพระวินัยกำหนดกาลไว้ คือ ตั้งแต่แรม 1 ค่ำ เดือน 11 ถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ผู้มีจิตศรัทธาเลื่อมใส ใคร่จะทอดกฐิน ก็ให้ทอดได้ในระหว่างระยะเวลานี้ จะทอดก่อนหรือทอดหลังกำหนดนี้ ก็ไม่เป็นการทอดกฐิน<br /><br /><b>กฐินแปลว่าอะไร?</b><br /><br /> <b>คำว่า กฐิน แปลว่า ไม้สะดึง</b> คือกรอบไม้ชนิดหนึ่งสำหรับขึงผ้าให้ตึง สะดวกแก่การเย็บ ในสมัยโบราณเย็บผ้าต้องเอาไม้สะดึงมาขึงผ้าให้ตึงเสียก่อนแล้วจึงเย็บเพราะ ช่างยังไม่มี ความชำนาญเหมื่อนสมัยปัจจุบันนี้ และเครื่องมือในการเย็บก็ยังไม่เพียงพอเหมือนจักรเย็บผ้า ในปัจจุบัน การทำจีวรในสมัยโบราณจะเป็นผ้ากฐินหรือแม้แต่จีวรอันมิใช่ผ้ากฐิน ถ้าภิกษุทำเอง ก็จัดเป็นงานเอิกเกริกทีเดียว เช่นตำนานกล่าวไว้ว่า การเย็บจีวรนั้น พระเถรานุเถระต่างมาช่วยกัน เป็นต้นว่า พระสารีบุตรพระมหาโมคคัลลานะพระมหากัสสปะแม้สมเด็จพระบรมศาสดาก็เสด็จลงมา ช่วย ภิกษุสามเณรอื่น ๆ ก็ช่วยขวนขวายในการเย็บจีวร อุบาสกอุบาสิกาก็จัดหาน้ำดื่มเป็นต้น มาถวายพระภิกษุสงฆ์ มีองค์พระสัมมาสัมพุทธะเป็นประธาน โดยนัยนี้ การเย็บจีวรแม้โดยธรรมดา ก็เป็นการต้องช่วยกันทำหลายผู้หลายองค์ (ไม่เหมือนในปัจจุบัน ซึ่งมีจีวรสำเร็จรูปแล้ว)<br />
<strong>ผู้ประสงค์จะทอดกฐินจะทำอย่างไร<br /></strong> พุทธศาสนิกชนทั่วไป ย่อมถือกันว่า การทำบุญทอดกฐินเป็นกุศลแรง เพราะเป็นกาลทาน ทำได้เพียงปีละ 1 ครั้งและต้องทำในกำหนดเวลาที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้ ดังนั้นถ้ามีความเลื่อมใสใคร่จะทอดกฐินบ้างแล้ว พึ่งปฏิบัติดังต่อไปนี้<br /><br /> <b>จองกฐิน</b> เมื่อจะไปจองกฐิน ณ วัดใด พอเข้าพรรษาแล้ว พึงไปมนัสการสมภารเจ้าอาวาสวัดนั้น กราบเรียนแก่ท่านว่าตนมีความประสงค์จะขอทอดกฐิน แล้วเขียนหนังสือปิดประกาศไว้ ณ วัดนั้น เพื่อให้รู้ทั่ว ๆ กัน การที่ต้องไปจองก่อนแต่เนิ่น ๆ ก็เพื่อให้ได้ทอดวัดที่ตนต้องการ หากมิเช่นนั้นอาจมีผู้อื่นไปจองก่อน นี้กล่าวสำหรับวัดราษฎร์ ซึ่งราษฎรมีสิทธิจองได้ทุกวัด แต่ถ้าวัดนั้นเป็นวัดหลวง อันมีธรรมเนียมว่าต้องได้รับกฐินหลวงแล้ว ทายกนั้น ครั้นกราบเรียนเจ้าอาวาสท่านแล้ว ต้องทำหนังสือยื่นต่อกองสัมฆการีกรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ ขอเป็นกฐินพระราชทาน ครั้นคำอนุญาตตกไปถึงแล้ว จึงจะจองได้<br /><br /> เตรียมการครั้นจองกฐินเรียบร้อยแล้ว เมื่อออกพรรษาแล้ว จะทอดกฐินในวันใด ก็กำหนดให้แน่นอน แล้วกราบเรียนให้เจ้าอาวาสวัดท่านทราบวันกำหนดนั้น ถ้าเป็นอย่างชนบท สมภารเจ้าวัด ก็บอกติดต่อกับชาวบ้านว่าวันนั้นว่านี้เป็นวันทอดกฐิน ให้ร่วมแรงร่วมใจกันจัดหาอาหารไว้เลี้ยงพระ และเลี้ยงผู้มาในการทอดกฐิน ครั้น กำหนดวันทอดกฐินแล้ว ก็เตรียมจัดหาเครื่องผ้ากฐิน คือไตรจีวร พร้อมทั้งเครื่องบริขารอื่น ๆ ตามแต่มีศรัทธามากน้อย (ถ้าจัดเต็มที่มักมี 3 ไตร คือ องค์ครอง 1 ไตร คู่สวดองค์ละ 1 ไตร)<br /><br /> <b>วันงาน พิธีทอดกฐินเป็นบุญใหญ่ดังกล่าวมาแล้ว</b> ดังนั้น โดยมากจึงจัดงานเป็น 2 วัน วันต้นตั้งองค์พระกฐินที่บ้านของเจ้าภาพก็ได้ จะไปตั้งที่วัดก็ได้ กลางคืนมีการมหรสพครึกครื้นสนุกสนาน ญาติพี่น้องและมิตรสหายก็มักจะมาร่วมอนุโมทนา รุ่งขึ้นเป็นที่วัดทอด ถ้าไปทางบก ก็มีแห่ทางขบวนรถหรือเดินขบวนกันไป มีแตรวงหรืออื่น ๆ เป็นการครึกครื้น ถ้าไปทางเรือก็มีแห่งทางขบวนเรือสนุกสนาน โดยมากมักแห่ไปตอนเช้า และเลี้ยงพระเพล การทอดกฐิน จะทอดในตอนเช้านั้นก็ได้ ทอดเพลแล้วก็ได้ สุดแล้วแต่สะดวก การเลี้ยงพระ ถ้าเป็นอย่างในชนบท ชาวบ้านจัดภัตตาหารเลี้ยงด้วย เจ้าของงานกฐินก็จัดไปด้วย อาหารมากมายเหลือเฟือ แม้ข้อนี้ ก็สุดแต่กาละเทศะแห่งท้องถิ่น<br />อนึ่ง ถ้าตั้งองค์กฐินในวัดที่จะทอดนั้น เช่น ในชนบทตอนเย็น ก็แห่งองค์พระกฐินไปตั้งที่วัด กลางคืนมีการฉลองรุ่งขึ้น เลี้ยงพระเช้าแล้ว ทอดกฐิน ถวายภัตตาหารเพล<br /><br /> <b>การถวายผ้ากฐิน</b> การถวายผ้ากฐินนั้น คือ เมื่อพระสงฆ์ประชุมพร้อมกันแล้ว เจ้าภาพ อุ้มผ้ากฐินนั่งหันหน้าตรงต่อพระประธาน ตั้งนะโม 3 จบ แล้วหันหน้ามาทางพระสงฆ์ กล่าวคำถวายผ้ากฐิน 3 จบ ถ้าเป็นกฐินสามัคคีก็มักเอาด้วยสายสิญจน์โยงผ้ากฐิน เมื่อจับได้ทั่วถึงกัน แล้วหัวหน้านำว่าคำถวาย ครั้นจบแล้ว พระสงฆ์รับว่า สาธุ เจ้าภาพก็ประเคนผ้าไตรกฐินแก่ภิกษุผู้เถระ ครั้นแล้วประเคนเครื่องบริขารอื่น ๆ เสร็จแล้ว พระสงฆ์ก็ทำพิธีมอบผ้าให้แก่ภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง ซึ่งเป็นพระเถระ มีจีวรเก่า รู้ธรรมวินัย ครั้นเสร็จแล้ว พระสงฆ์อนุโมทนา เจ้าภาพกรวดน้ำรับพร ก็เป็นอันเสร็จพิธีการทอดกฐินเพียงนี้<br /><br />joebon007http://www.blogger.com/profile/13420953985502302487noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5411958568064325121.post-1832026188156645312012-11-14T18:43:00.001-08:002012-11-14T18:43:05.953-08:00MY phopile<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjCdYCzz8tdgWXzGhZOIOAtEXwm9MpJWgcI5EWuHAhCWshJS8UyBPoUeZBGV8ynv6OKvO-5YK-ovhYe_0d5GDjc4xVn-yGLERL-46HDJTSep75lA3NnA4Mw1YUsorHzttY6m7xIXEuggDU/s1600/555555.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="213" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjCdYCzz8tdgWXzGhZOIOAtEXwm9MpJWgcI5EWuHAhCWshJS8UyBPoUeZBGV8ynv6OKvO-5YK-ovhYe_0d5GDjc4xVn-yGLERL-46HDJTSep75lA3NnA4Mw1YUsorHzttY6m7xIXEuggDU/s320/555555.jpg" width="320" /></a></div>
<br />joebon007http://www.blogger.com/profile/13420953985502302487noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5411958568064325121.post-69619403093084379362012-11-08T03:52:00.002-08:002012-11-08T03:52:53.931-08:00<h2>
<span style="color: red;">ประวัติส่วนตัว</span></h2>
<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhlMF502CKZ6vLCwliMhinkUu2rLcjlCkrH3nX2kgXqBv9isRxezfKtwA62O7fCuSGx93YZcHgvnwuYPYExisbf2G6MXyyDTYXdOanJtVB1FvdTuPZ0wSxdeaVqAVrh6xfY6hhXUa1jz2U/s1600/5555.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="240" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhlMF502CKZ6vLCwliMhinkUu2rLcjlCkrH3nX2kgXqBv9isRxezfKtwA62O7fCuSGx93YZcHgvnwuYPYExisbf2G6MXyyDTYXdOanJtVB1FvdTuPZ0wSxdeaVqAVrh6xfY6hhXUa1jz2U/s320/5555.jpg" width="320" /></a></div>
<h3>
<span style="color: orange;">ชื่อ ด.ช. วุฒิภัทร พิลานันท์</span> </h3>
<h3>
<span style="color: yellow;">ม. 3/2 เลขที่ 11</span></h3>
<h3>
<span style="color: lime;">ชื่อเล่น โจ๋</span></h3>
<h3>
<span style="color: cyan;">สีที่ชอบ ขาว</span></h3>
<h3>
<span style="background-color: white; color: blue;">สัตว์ที่ชอบ เม่น</span></h3>
<h3>
<span style="color: magenta;">งานอดิเรก นอน</span></h3>
joebon007http://www.blogger.com/profile/13420953985502302487noreply@blogger.com0